ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โรคผีดูดเลือด( Porphyria )

โรคผีดูดเลือด( Porphyria )
(ภาพคนเป็นโรคผีดูดเลือดน่าตาเหมือนผีชัดๆฟันเหยินออกมานอกปาก)

Porphyria โรคโพรพีเรีย หรือโรคผีดูดเลือด เป็นโรคเลือดที่เกิดจากความผิดปกติของเลือด จากการที่ร่างกายขาดเอนไซม์ ( Enzymes ) ที่ใช้สร้างร่างกาย ที่เรียกว่า "Heme" ซึ่งอาการของโรคจะแสดงออกมาสองลักษณะใหญ่คือทางจิต และทางผิวหนังร่างกาย ชื่อ Porphyria มาจากภาษากรีซ คำว่า porphyrus ซึ่งแปลว่า สีม่วง ( purple )

เหตุที่ ทำให้โรคโพรพีเรีย ถูกเรียกว่า โรคผีดูดเลือด
•ผิวหนังจะเกิดอาการแพ้แสง จะเกิดเป็นแผลพุพองขึ้น ทำให้ผู้ป่วยกลัวแสง และออกจากบ้านเฉพาะเวลากลางคืน
•อวัยวะส่วนยื่นเป็นระยางยื่น เช่นจมูก นิ้วมือนิ้วเท้า จะเกิดเป็นแผลเรื้อรัง จนหลุดขาดออกจากร่างกาย
•ริมฝีปากจะเกิดอาการดึงรั้ง จนมองเห็นฟันชัดเจน
•การรักษาทำได้การถ่ายเลือด ให้เลือด ในสมัยโบราณอาดใช้การให้ดื่มเลือด
•กระเทียมมีการเคมีบางตัวที่ใช้รักษาโรคโพรพีเรีย แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าผู้ป่วยบางคนกลัวกระเทียม

(ภาพวาดผีดูดเลือด)
บทความเกี่ยวกับ โรคประหลาด และความพิการ
ข้อมูลอ้างอิง โรคผีดูดเลือด
•http://thenark.com/bizarre/porphyria-a-disease-of-vampires/
•http://www.associatedcontent.com/image/44274/index.html?cat=5

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มนุษย์ต้นไม้ ( Tree man )

มนุษย์ต้นไม้ ( Tree man )

Tree man มนุษย์ต้นไม้ คนนี้เป็นหนุ่มใหญ่ชาวอินโดนิเซีย ชื่อว่า Dede Koswara วัย 35 ปี ซึ่งป่วยเป็น โรคหูด ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผิวหนังเกิดเป็นสเก็ต และงอกยาวออกมาคล้ายรากไม้ ตามเนื้อตัวคล้ายเปลือกของต้นไม้ โดยจุดเริ่มต้นของ โรคประหลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อ เมื่อ Dede เขาอายุ 15 ปี เมื่อเขาเกิดอุบัติเหตุเป็นแผลที่หัวเข่า ทำให้เกิดหูดเล็กๆขึ้นที่ขาส่วนล่าง และเริ่มรุกรามจนไม่สามารถควบคุมได้

ต่อมาเรื่องของเขาเป็นที่สนใจของประชาชน จากการนำเสนอของ Telegraph.co.uk และ Discovery Channel และ Dr Anthony Gaspari จากมหาวิทยาลัย he University of Maryland ได้ถูกส่งมาที่อินโดนิเซีย เพื่อดู และหาทางรักษาเขา และ Dr.Gaspari ได้สรุปสาเหตุของโรคนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส

ที่ชื่อว่า Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งคนทั่วไปจะทำให้เกิดเป็นหูดเล็ก แต่สำหรับในกรณีของ Dede นั้นเป็นกรณีไม่ธรรมดา ที่ยากจะได้พบเนื่องจากร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดหูดได้ และเชื้อไวรัส ได้บุกยึด cellular machinery ภายในเซลผิวหนังของเขา ทำให้ผิวเกิดเป็นหูด ขึ้นทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งเรียกว่าโรค cutaneous horns
ข้อมูลอ้างอิง มนุษย์ต้นไม้
•http://www.telegraph.co.uk/news/1904870/Tree-man-Dede-Koswara-almost-died-from-his-disease.html

เมื่อ วิญญาณ แฟชั่น เทคโนโลยี หลอมรวมกัน

เมื่อ วิญญาณ แฟชั่น เทคโนโลยี หลอมรวมกัน

Alexander McQueen อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน ได้รับฉายาว่า ดีไซค์เนอร์จอมกบฏ ซึ่งวันนี้ Admind DEN ได้ดูข่าวทีวีถึงการจากไปของเขา โดยการแขวนคอตาย ในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ได้ดูผลงานการแสดงเสื้อผ้าของเขา รู้สึกประทับใจในการที่เขานำเสนอ แฟชั่นโดยใช้เทคโนโลยี โฮโลแกรม อย่างมาก

รายละเอียดเกี่ยกับ เมื่อ ดวงวิญญาณ แฟชั่น เทคโนโลยี่ หลอมรวมกัน
•ผลงานแฟชั่นโชว์ชุดนี้ เป็นของ ดีไซค์เนอร์จอมกบฏ นามว่า อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน(Alexander McQueen)
•ภาพที่เห็นไม่ใช่ ดวงวิญญาณ แต่เป็นภาพที่เกิดจากเทคโนโลยี่ว่า โฮโลแกรม
•นางแบบที่ได้รับเลือกมาแสดงโชว์ในครั้่งนี้คือ นางแบบสาวสวยระดับโลก นามว่า Kate Moss
•การแสดงโชว์นี้เกิดขึ้นในแสดงแฟชั่นโชว์ฤดูใบไม้ร่วงปี 2006 ของ อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน (Alexander McQueen’s Fall 2006 Fashion)
ผลงานแฟชั่นชุดนี้เรียกได้ว่าทั้งสวยทั้งหลอน ก็ไม่แปลกนัก

ข้อมูลอ้างอิง เมื่อ ดวงวิญญาณ แฟชั่น เทคโนโลยี่ หลอมรวมกัน

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พบโครงกระดูกผีดูดเลือด (Vampires)

พบโครงกกระดูกผีดูดเลือด

ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 กาฬโรค ( Plague ) ได้ระบาดในอิตาลี ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนยังมีความเชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจ จึงเชื่อว่าเหตุของโรคร้ายเกิดจากผีดูดเลือด

การค้นพบนี้จึงเป็นหลักฐานยืนยันในความเชื่อนี้ในยุคกลาง สิ่งที่พบคือโครงกระดูกบางส่วน และกระโหลกศีรษะของผู้หญิงคนหนึ่ง ทีถูกก้อนอิฐขนาดใหญ่ยัดไว้ในปาก ซึ่งมันเป็นวิธีการของหมอผีที่ใช้กับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีดูดเลือด เพราะเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะ
สามารถหยุกยั้งการแพร่กระจายของโรคร้ายได้
-->
โครงกระดูกนี้ และโครงกระดูกอื่นถูกค้นพบที่ หลุมศพผู้ติดเชื้อกาฬโรค บนเกาะ Lazzaretto Nuovo ประเทศอิตาลี ซึ่ง Borrini นักโบราณคดีที่ขุดค้นกล่าวว่า " พวกเราโชคดีมากที่ค้นพบหลุมฝังศพ และโครงกระดูก ในยุคกลางแห่งนี้เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าการในการรักษาศพในยุคนั้นไม่ค่อยดีทำให้ไม่ค่อยเหลือหลักฐานอะไรจากยุคนั้นมากนัก"

โครงกระดูกผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคถูกฝังไว้เป็นจำนวนมาก

กรอบสีเหลืองนั้นคือตำแหน่งที่ตั้งของเกาะ Lazzaretto Nuovo ใกล้เมือง Vanice ประเทศอิตาลี (Italy)
เอกสารอ้างอิง พบโครงกระดูกผีดูดเลือด
http://news.nationalgeographic.com/news/2009/03/090310-vampire-graves.html

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สุดสยอง ผีเข้า Anneliese Michel Exorcism

สุดสยอง ผีเข้า

ภาพก่อนถูกผีเข้า
☠Anneliese Michel อันเนลีส มิเชล เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952 ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนี นับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก ( Catholic )
เธอเป็นเคส ทีมีอาการที่เรียกว่า
ผีเข้า ( Exorcism ) เด่นชัด และ
มีอาการยาวนานจนเธอเสียชีวิต
โดยมีอาการพูดด้วย เป็นเสียงของ ปีศาจ และอาการแปลกๆ เป็นเป็นที่สนใจของสาธารณะชนอย่างมาก
โดยชีวิตของเธอยังเคล้าโครงเรื่อง
ของภาพยนต์ สุดสยอง
เรื่อง " The Exorcism of Emily Rose " และเรื่อง " Requiem "
จากชีวิตจริงของเธอ

😳ประวัติส่วนตัว ของ อันเนลีส มิเชล
เธอเกิดวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952
เธอเป็นบุตรของ โจเซฟ และ
อันนา มิเชล
เธอตายวันที่ 1 กรกฏาคม ค.ศ. 1976 ด้วยวัย 23 ปี
เธอนับถือศาสนา คริสต์ นิกายคาธอลิก ( Catholic )
เธอมีพี่น้องรวมกัน 4 คน เป็นหญิงล้วน
ครอบครัวของเธอเป็นพวกเคร่งศาสนา ซึ่งนั้นอาจเป็นเหตุ แห่งเรื่องราวอัน
เลวร้ายของเธอ

รูป ครอบครัว ของ อันเนลีส มิเชล 

ที่ยังแสนมีความสุข ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้น
😱จุดกำเนิด แห่งเรื่องราวอันเลวร้าย(ผีเข้า) ของ อันเนลีส มิเชล
อันนา มิเชล เกิดตั้งท้องก่อนแต่งงาน และนั้นถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างมากสำหรับ ชาวคาธอลิกที่เคร่งศาสนา
และการลงโทษก็คือทางครอบครัวบังคับ
ให้ อันนา มิเซล (ผู้แม่ ) แต่งชุดดำในวันแต่งงาน 1956 บุตรสาวคนโตที่เกิดจาก การท้องก่อนแต่งเกิดเสียชีวิตลง
ยิ่งทำให้ อันนา(ผู้แม่) ยิ่งคิดว่าบาปกรรมได้ตามลงโทษเธอ ยิ่งทำให้อันนา(ผู้แม่) บังคับ ให้ อันเนลีส สวดมนต์ ชำระบาปอย่างสม่ำเสมอ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

รูป อันเนลีส มิเชล ก่อนมีอาการที่เรียกว่า ผีเข้า กับเพื่อนชายที่ชื่อว่า ปีเตอร์
( Peter ) ก่อนที่จะเกิดเหตุ
เธอก็คือหญิงสาวธรรมดาที่มีความรักประสาหนุ่มสาว

👉1968 ขณะที่ อันเนลีส มิเชล
อายุได้ 16 ปี เธอเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรงเป็นครั้งคราว พ่อแม่ของเธอนำเธอไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์
ระบุว่าเธอเป็นโรคลมบ้าหมูชนิดร้ายแรง แพทย์ได้จ่ายยามาให้กินแต่อาการของเธอกลับยิ่งทรุดลง

👉1968-1973 ตลอด 5 ปีั เธอต้องเข้าออกโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ยิ่งแต่ทรุดลงทุกวัน ประกอบกับความเชื่อทางศาสนา ทางครอบครัวของเธอจึงเริ่มหันเข้าสู่วิธีทางไสยศาสตร์ เพราะคิดว่าอาการ
ของเธอ เกิดจาก ผีเข้า
ภาพหลังถูกผีเข้า
👉1973 เธอเริ่มมีอาการประหลาดมากขึ้น อย่างเช่น ด่า ทุบตีคนในครอบครัว ไม่กินอาหาร แต่หันไปกินพวกแมลง ถ่าน ดื่มกินฉี่ของตนเอง ฉีกเสื้อผ้า เห่าหอนราวกับ สุนัข เป็นวัน กรีดร้องไม่รู้จักเหนื่อยนานนับชั่วโมง และเมื่อสติของเธอกลับมาเธอก็จะ ซึมเศร้าอย่างรุนแรง จนเธอคิดจะฆ่าตัวตาย ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทุกคนในครอบครัวเชื่อว่าเธอถูก ผีเข้า

👉1974 บาทหลวง เอิร์นส์ต อัลต์
( Pastor Ernst Alt ) เป็นผู้ยื่นคำร้อง แต่ท่านบิชอปแห่งวูซบรูก เป็นครั้งที่สาม เพื่อประกอบพิธีไล่ผี จึงได้รับคำอนุญาต ให้ประกอบพิธีกรรมไล่ผี แก่ อันเนลีส มิเชล ที่ถูกระบุว่าถูก ผีเข้า

ซ้าย บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) ขวา หลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz )
สองหลวงพ่อที่ประกอบพิธีไล่ผี
ให้แก่ อันเนลีส มิเชล

👉1975 เดือนกันยายน บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) และหลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz ) เป็นผู้ประกอบพิธี
ตามกำหนดแล้วพิธีไล่ผี หรือ ปีศาจ ร้ายนี้จะต้องทำกันสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ครั้งหนึ่งใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง ระหว่างประกอบพิธีกรรมอาการของ อันเนลีส มิเชล จะดิ้นรนอย่างแรงจนต้องใช้ผู้ชายจับครั้งละ 3 - 4 คน บ้างครั้งต้องล่ามโซ่ไว้ เป็นที่น่าแปลกประหลาดใจว่า อาการของเธอกับดีขึ้นอย่างมากจนเธอสามารถกลับไปเรียน ไปโบสถ์ได้ตามปกติ แต่อาการก็ดีได้เพียงระยะสั้น

👉1976 ผลจากการเข้าพิธีไล่ผีอย่างเข้มข้น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดน้ำและอาหาร ก็ทำให้เธอล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม ไข้ขึ้นสูงจนเธอไม่ขยับตัวได้ แต่พิธีไล่ผีก็ยังต้องดำเนินต่อไป และการประกอบพิธีในวันที่ 30 มิถุนายน ก็เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการประกอบพิธีกรรม เพราะในวันรุ่งขึ้นเธอก็เสียชีวิตลงอย่างเดียวดายในห้องนอนของเธอ เมื่อพ่อแม่ของเธอมาพบเธอก็เสียชีวิตลงแล้ว
ในเช้าวันที่ 1 กรกฏาคม 1976

รูป ในช่วงท้ายของชีวิตของ เธอ ไม่หลงเหลือเคล้าโครงของเด็กสาวน่ารักอีกแล้ว สภาพเธอไม่ต่างจากซากศพมีชีวิตก็ไม่ปาน ซึ่งเป็นผลมาจากการไล่ผี ซึ่งมันคงนำมาซึ่งความ ทรมาน ทรกรรมอย่างแสนสาหัสแต่เธอ จวบจนวาระสุดท้ายในชีวิตของเธอ
หลังจากการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ พบว่าเธอเสียชีวิตจาก อาการขาดสารอาหาร และน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นถ้ามีการเอาใจใส่หรือดูแลเธอที่ดีกว่านี้

ตลอดช่วงเวลา 10 เดือนหลังก่อนเสียชีวิต เธอต้องเข้ารับพิธีไล่ผีถึง 67 ครั้ง
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำหให้อัยการรัฐสั่งฟ้องร้อง พ่อ แม่ของเธอ พร้อมด้วยบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ กับหลวงพ่อโจเซฟ เรนซ์ ด้วยข้อหา กระทำการโดยประมาทอันทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
1978 เดืนอกุมภาพันธ์ ได้มีการขุดศพของ อันเนลีส มิเชล ขึ้นมา แล้วฝังลงไปใหม่ มีข่าวลือว่า มีแม่ชีมาบอกว่าศพของ อันเนลีส มิเชล นั้นไม่เน่าเปื่อย จึงมีการขุดขึ้นมา แต่ทางครอบครัวอ้างว่าที่ขุดขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนโลงเป็นโลงอย่างดีให้แก่เธอ

รูปหลุมฝังศพของ อันเนลีส มิเชล ที่สุสาน Klingenberg Cemetery เมือง Klingenberg ประเทศเยอรมันนี

👉1978 เดือนมีนาคม บาทหลวง
ให้การแก่ศาลว่า อันเนลีส มิเชล ถูกผีเข้าโดยใช้เทปเสียงระหว่างการประกอบพิธีกรรมไล่ผี เป็นหลักฐาน และถ้อยคำในเทป บางส่วนที่หลวงพ่อระบุว่า เป็นสำเนียงแฟรงกลิช ซึ่งเป็นสำเนียงเสียงของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผีร้ายที่เข้าสิงเธอ แต่ศาลเห็นคำแก้ต่างฟังไม่ขึ้นและสั่งลงโทษจำคุก จำเลยทั้งสี่เป็นเวลา 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปีแทน

รูปภาพ ระหว่างพิจารณาคดี ริมซ้าย บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) กลางซ้าย หลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz ) 
และ พ่อแม่ของ เธอ


😥ขอให้เธอ จงหลับอย่างสงบ และหวังว่าเธอคงเป็นคนสุดท้าย ที่ต้องพบกับเรื่องราวอันเลวร้ายอย่างนี้ ในสังคมไทยเรา ก็ยังมีความเชื่อเช่นนี้ และทุกคนก็ต้องประสบณ์กับ ชะตากรรมอันเลวร้าย ไม่ถูกทำร้าย ก็ถูกขับออกจาก ถิ่นที่อยู่ ดังจะเห็นได้จาก สารคดีเรื่องราวเกี่ยวกับ ปอบ ที่นำเสนอผ่านมาทุกยุคทุกสมัย
The Exorcism of Emily Rose

เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย manman

สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก Ugliest dog


สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก ( Ugliest dog )
Ugliest dog ถ้าพูดถึง สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก คงต้องเป็นสุนัขจากเวทีประกวด World's Ugliest Dog Contest ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่เมือง Petaluma รัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัลประมาณ 35,000 บาท ( 1,000 เหรียญสหรัฐ ) โดยเริ่มมีการประกวดกันเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2002 มาพบกับเหล่าแชมป์เปี้ยน หมาหน้าเกลียดกัน
และโดยมาก สุนัขที่ชนะการประกวด จะเป็นสุนัขสายพันธุ์ Chinese Crested ซึ่งอาดสรุปได้ว่าสุนัข สายพันธุ์ นี้เป็นสายพันธุ์ที่น่าเกลียดที่สุดในโลก ก็ว่าได้
สุนัข หน้าเกลียด ที่สุดในโลก ปี 2000 - 2001

Nana คือ สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก ประจำปี 2000 ถึง 2001 โดยเจ้าของนาน่า ไม่ยอมเปิดเผยสายพันธุ์ของ นาน่า แต่ดูแล้วมันน่าจะเป็นสุนัขพันธุ์ทางซะมากกว่า นาน่าได้ตายลงในปี 2001 หลังจากได้รับรางวัลไม่นาน

Rascal คือ สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก ประจำปี 2002 โดย rascal เป็นสุนัขพันธุ์ Chinese Crested โดยมีนักแสดงชื่อ Dane Andrew เป็นเจ้าของ และที่น่าสนใจคือ Rascal ยังครองอีกหลายตำแหน่ง ความน่าเกีจยจ

จนได้รับการบันทึกลงในกินเน็สบุ๊ค ว่าเป็นสุนัข น่าเกลียด ที่ครองตำแหน่ง ชนะเลิศ ถึง 8 รายการ แถมยังได้รับเชิญ จาก Jay Leno ไปออกอากาศรายการ Tonight Show และยังได้แสดงภาพยนต์สยองขวัญอีก 4 เรื่องดังต่อไปนี้ Carson Daly , ET's Insider , People magazine , Hello และยังสามารถทำเงินจากความน่าเกลียด อีกมากมาย

สุนัข หน้าเกลียด ที่สุดในโลก ปี 2003 - 2005
am แซม เป็น สุนัข สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก 3 สมัยประจำปี 2003 ถึง 2005 แซมเป็นสุนัขตาบอด พันธุ์ Chinese Crested และแซมได้ตายลงในเดือน พฤศจิกายน 2005 สิ้นสุดตำนานแชมป์ 3 สมัย ถ้าหากแซมไม่ตายลง คงยากที่จะมีหมาตัวใดชนะมันได้ในปี 2006
สุนัข หน้าเกลียด ที่สุดในโลก ปี 2006

Pee Wee Martini พีวี เป็น สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก ประจำปี 2006 และการประกวดครั้งนี้ก็ได้เกิดเหตุการณ์อื้อฉาวขึ้นเมื่อได้ปรากฏว่าได้มี Hacker เข้ามาลบคะแนน Vote ของพีวี ไป 40,000 คะแนน และลบคะแนนสุนัขที่ได้อันดับสองไป 30,000 คะแนน จึงทำให้ต้องมีการลงคะแนนกันใหม่ และผู้ชนะประจำปี 2006 ก็คือ พีวี ซึ่งเป็นลูกของ แซม
สุนัข หน้าเกลียด ที่สุดในโลก ปี 2007

Elwood แอลวูด เป็น สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก ประจำปี 2007 แอลวูด เป็นสุนัขลูกผสมระหว่างสุนัขพันธุ์ Chinese Crested กับ Chihuahua โดยเอกลักษณ์ของแอลวูดที่สะดุดตาคือ ขนบนหัวทีคล้ายทรง โมฮ็อค ตาพิการ และลิ้นห้อย
สุนัข หน้าเกลียด ที่สุดในโลก ปี 2008

Gus กัส เป็น สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก ประจำปี 2008 กัสเป็นสุนัข สายพันธุ์ Chinese Crested จาก Florida กัสมีเอกลักษณ์คือเป็น หมาสามขา โดยมันเสียขาไปจากการเป็นมะเร็งผิวหนัง และมีตาข้างเดียว โดยมันเสียตาไปจากการต่อสู้กับแมวตัวผู้ ( Tomcat ) โดยตอนที่มันได้รับตำแหน่งมันมีอายุ 9 ขวบ
สุนัข หน้าเกลียด ที่สุดในโลก ปี 2009

Pabst พาบต์ เป็น สุนัข น่าเกลียด ที่สุดในโลก ประจำปี 2009 ผู้ปิดตำนาน สุนัขน่าเกลียดที่สุดในโลก ของสุนัขสายพันธุ์ Chinese Crested ที่ครองตำแหน่ง สุนัข น่าเกลียดที่สุดในโลก 7 สมัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ลงได้ พาบต์เป็นสุนัขสาย พันธุ์ boxer ลูกผสม โดยมีนาย Miles Egstad เป็นเจ้าของ

คัมภีร์ไบเบิ้ล ปีศาจ หนังสือโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ( Devil's Bible )

คัมภีร์ไบเบิ้ล ปีศาจ หนังสือโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ( Devil's Bible )

Codex Gigas หรือในภาษาอังกฤษ คือ หนังสือยักษ์ ( Giant Book ) เป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือโบราณ ใน ยุคกลางที่มีขนาด ใหญ่ที่สุดในโลก มันถูกเขียนขึ้นมาในประมาณ คริสต์ศัตวรรษที่ 13 ใน ประเทศโบฮีเนีย ( ปัจจุบันอยู่ในประเทศเชสโกสโลวาเกีย Czech Republic ) และถูกเก็บรักษาไว้ในโบสถ์ ในระหว่าง สงครามสามสิบปี ( Thirty Years' War ) ในปี ค.ศ. 1648 สมบัติ ของสะสมต่างภายใน โบสถ์ ถูกปล้นไปโดย กองทัพของทหารสวีเดน ปัจจุบัน Codex Gigas ถูกเก็บรักษาอยู่ที่ หอสมุดนานาชาติ ประเทศสวีเดน ในเมืองสโทตโฮม ( National Library of Sweden in Stockholm ) แต่ Codex Gigas ถูกรู้จักกันในชื่อ คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ เพราะว่า......

ทำไม Codex Gigas จึงถูกเรียกว่า คัมภีร์ไบเบิ้ล 
ของ ปีศาจ
Why ยังคงเป็นปริศนาของผู้เขียน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้ แต่ตำนานนั้นกล่าวว่าบันทึกเล่มนี้เขียนโดย นักบวชนอกรีตที่ขายวิญญาณให้แก่ซาตาน และใช้เวลาเขียนเพียง หนึ่งคืน เท่านั้น ( อ่านตำนาน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ ) แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษา เกียวกับ บันทึกเล่มนี้ไม่เชื่อ และคาดการณ์ว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้ใช้เวลาเขียนไม่ต่ำกว่า 20 ปี
-->
คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เป็น คัมภีร์ไบเบิ้ลเพียงเล่มเดียวที่บรรจุไว้ ทั้งคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า และใหม่ รวมกัน
ภายในยังประกอบได้ด้วยรูปภาพเกี่ยวกับ ซาตาน ( satanic ) ซึ่ง ทำให้มันเป็น คัมภีร์ไบเบิ้ล เพียงเล่มเดียวที่มีรูป ปีศาจ หรือ ซาตาน ภายในเล่ม

ภายในประกอบไปด้วย มนต์ดำ แห่ง ปีศาจ ( demonic spells )
ภายในประกอบไปด้วย มนต์ คาถา เพื่อการรักษา
ลักษณะลายมือที่เขียน อย่างสวยงาม มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนต้นฉบับหนังสือใด ด้วยหมึกสีดำ แดง น้ำเงิน เหลือง เขียว และสีทอง ขึ้นต้นตัวอักษรด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่ และสวยงาม
ด้วย ต้นกำเนิด และปริศนา ต่างนี้จึงทำให้ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ นี้ถูกจัดอันดับเป็น สิ่งมหัศจรรย์ของโลก อันดับที่ 8 และเป็นหนึ่งใน หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก เล่มหนึ่ง

และรูปซาตานขนาดความสูง 50 เซ็นติเมตร นี้เป็นที่มาของ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้

ลักษณะ คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ
คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ ถูกเก็บรักษาอยู่ในหีบไม้
ปกเป็นหนังสัตว์ ประดับด้วยเครื่องประดับโลหะ
ตัวคัมภีร์ไบเบิ้ล ปีศาจ มีขนาด 92 x 50 x 22 เซ็นติเมตร ( สูง x กว้าง x หนา ตามลำดับ ) หนัก 75 กิโลกรัม
เนื้อหาภายในบันทึกโดยรายมือ บนหนังลูกวัว หนังลา รวมกว่า 160 ตัว
ช่วงแรกคาดว่าภายในเล่มประกอบไปด้วย เนื้อหา 320 แผ่น
ปัจจุบัน ปรากฏร่างรอยการฉีกบันทึกออกไป 8 แผ่น (อ่านตำนาน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจว่า 8 แผ่นนี้คืออะไร ) และยังคงเป็น ปริศนา อยู่ถึงทุกวันนี้ว่า ใครเป็นผู้ฉีก เนื้อหาส่วนที่ขาดหายไปนั้น และจุดประสงค์ในการทำลายบันทึกนี้เพื่ออะไร
ภายในเล่ม ไม่ปรากฎ ชื่อ ลายเซ็นต์ อะไรที่เป็นร่องรอยในการสืบค้นทั้งสิ้น

ตำนานการอุบัติ ของ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ
Legend ย้อนกลับไป นานเท่านาน นักบวชผู้ถูกจองจำอยู่ในคุกที่ลึกและมือมิด จากความผิดอย่างใหญ่หลวงของเขาที่ได้กระทำ ทางรอดเพียงหนทางเดียวที่จะได้รับการไถ่โทษนี้ ก็คือ จะต้องทำการเขียนหนังสือที่เป็นการยกย่องทางคริสต์ศาสนา และรวบรวมไว้ด้วยภูมิรู้ทั้งปวงของมวลมนุษญ์ชาติ ( ความหมายก็คือให้เขียน คัมภีร์ไบเบิ้ล ) ให้เสร็จภายใน 1 คืน เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก จนถึงเวลาเที่ยงคืน นักบวชยังเขียนหนังสือได้ไม่คลืบหน้า เขาจึงเริ่มสวดภาวนา วิงวอน แต่คำวิงวอนนั้นไปไม่ถึงพระผู้เป็นเจ้า แต่มันกับตกลงไปสู่ ห้วงอเวจีที่มืดมิด และซาตานก็ตอบรับคำวิงวอนของ นักบวชผู้นั้น โดยการช่วยเหลือจากซาตาน ให้เขาสามารถเขียน Codex Gigas หรือ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 คืน และนักบวช จึงได้เขียนรูป ซาตาน ตนนั้นที่ให้ความช่วยเหลือเขา ลงใน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือเขา ในหน้าที่ 290ตามตำนานยังเล่าว่า นักบวชเป็นผู้ฉีก ออกไป 8 แผ่น เนื่องจากบทดังเป็น คาถา และวิธีกรรมในการไล่ภูต ผี ปีศาจ
ข้าจะมอบสิ่งที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ....

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผีในห้องเรียน


เรื่องนี้เป็น เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เมื่อสักสองปีที่แล้วครับ อาจจะจำรายละเอียดไม่ได้มากนัก คือ ไปช่วยงานกีฬาสีโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนะครับ คือเค้าให้ผมไปช่วยพ่นแผ่นplateกองเชียร์ สูง2เมตร กว้างประมาณ4เมตรได้ ตัวผมสูง 150 เอง ก็ทำๆๆ ทั้งหมดนี่คนเดียวเลยเริ่มทำตอน 10โมงเช้า กว่าจะเสร็จก็ปาไป6โมงเย็นแล้ว

ทีนี้ก็มีพวกพี่สต๊าฟสี แล้วก็รุ่นพี่โรงเรียนนี้ที่จบไปแล้วที่เค้าเข้ามาเล่นบาสก็มาทักทายพี่ๆพวก นี้ (เหลือแต่ผู้ชายนะครับ พวกพี่ๆ ร.ร. นี้ อยู่ม.6 มีผม มาช่วยเค้า อยู่คนละโรงเรียน แถมยังอยู่ แค่ม.4)เค้าก็มานั่งคุยกันตลกโปกฮาไปเรื่อยตามประสา จนเข้ามาถึงเรื่องผี เค้าก็บอกผม

"น้องอยู่โรงเรียน xxx ใช่ป่ะ ไม่รู้ค่อยรู้เรื่องผีที่นี่อ่ะดิ" ผมก็พยักหน้ารับ

"เห้ย งั้นพวกมืงมาด้วยกันดีกว่า พาน้องเค้าทัวร์หน่อย เดี๋ยวจะรู้จักแค่สนามบาส"

พี่ เค้าพาผมเดินทะลุตึกๆนึง แล้วก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าตึกๆนึง ผมก็อธิบายไม่ค่อยถูกหรอกครับ ดูตามรูปข้างล่างแล้วกันนะครับ ทีนี้ก็มาเล่าเบาะๆเกี่ยวกับที่แห่งนี้ บ้างก็ว่าเคยเป็นจุดที่เรือมาล่มบ่อยๆ (สมัยก่อนแถบโรงเรียนผม และโรงเรียนนี้ เป็นทะเลทั้งหมด) บางก็ว่าเคยมีคนฆ่าตัวตายในโรงเรียน

แล้ว ก็มาอยู่ตรงจุดยืนคุยจุดแรก คือวงกลมแดงๆในแผนที่น่ะครับ พี่แกเล่าว่า บริเวณซุ้มศาลาที่สวนตรงหน้านั้น เคยมีเด็กม.ต้นโดดเรียนจับกลุ่มเล่นผีถ้วยแก้วกันก็รู้สึกว่าแก้วมันเลื่อน ผิดปรกติ ก็มีเด็กคนนึงนึกว่าเพื่อนแกล้ง เลยบอก เห้ย เล่นงี๊ไม่เล่นดีกว่า ไม่ตื่นเต้นเลย ก็เลยเอามือออกจากแก้ว พอออกปุ๊ป หน้ามืดเลยครับ คนอื่นๆในวง ก็แตกฮือเลยทีนี้

มีเงาคนน่ะ ขี่คอเด็กคนนั้นอยู่ครับ เพื่อนๆก็ตามอาจารย์มาช่วย เอาพระมาคล้อง เด็กคนนี้หมดสติต้องนำส่งโรงพยาบาล ในเวลาต่อมาก็มีประกาศจากทางโรงเรียน ห้ามเล่นผีถ้วยแก้ว ห้ามท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็นทุกชนิด ผมฟังไปก็ขนลุกไป เพราะสถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ตรงหน้าผมนั่นเอง

สักพักพี่เค้าก็ชี้ไปที่ห้องๆนึง อยู่ตึกสีฟ้า ที่ติดกับตึกสีดำในแผนที่น่ะครับ บอกเลยว่าเป็นห้องเลขตอง เป็นแล็ปเคมี พี่คนนี้เจอมากับตัวครับ

เย็นวันนึงพี่เค้าก็เล่นบาส กลับก็เย็นแล้ว สี่ห้าโมง ก็ยังมีแดดอยู่นะครับ คนก็ยังพลุกพล่านอยู่ พี่เค้าก็กลับไปเอามอเตอร์ไซค์ที่จอดรถครู เอามาแอบจอดแหละครับสายตาพี่แกก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึง ยืนเอาหน้านาบกระจกอยู่ ผมยาว หน้าตาเป็นยังไงพี่แกไม่ได้อธิบาย แต่ที่แปลกคือ

บริเวณหน้าโรงเรียนหันออกทะเลครับ หันออกทะเลของจังหวัดผม = ทิศตะวันตก ดูแผนที่ดีๆสิครับ ห้องนี้มีหน้าต่างอยู่ด้านข้างด้วย แสงที่สาดกระทบมาต้องเป็นแบบซิลูเอท ใช่ไหมครับ คือวัตถุจะมืด ฉากหลังจะสว่าง แต่ไม่ใช่ครับ

หน้าคน?ที่ เห็นนั้นน่ะ สว่างครับ สุกใส มองมาที่พี่เค้า พี่เค้าก็จ้องกลับอยู่ 5นาทีได้ แล้วก็ค่อยๆจาง จาง จาง. . .จางหายไปแสงก็ทะลุ พรึ่บ! กลับมา เหมือนปกติ เท่านั้นแหละครับ พี่แกรีบบึ่งรถกลับบ้านทันที

ขนลุกกันสักพัก พี่แกพาผมขึ้นตึกสีเทา แล้วก็ผ่านทาง ทะลุมาตึกที่พี่แกเจอผีนี่ะครับ ลืมไป เพื่อนผมมาเพิ่มอีกคนครับ รด. ที่มาชุมนุมอะไรกันไม่รู้ เพิ่งเลิกพอดี ก็เลยมาร่วมแจมตอนก่อนจะขึ้นตึกน่ะครับ มันชื่อ ไอ้แวน

ก็ไต่บันไดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ พี่แกก็มาหยุดที่หน้าห้องน้ำห้องนึกในตึกเทา แกก็เล่าอีก

" เห้ยพี่เคยเจอนะเว้ย เข้าไปถ่ายในห้องน้ำ(ห้องน้ำชาย มีน้อยมาก)แล้วพี่เห็นเท้าผู้หญิง ม.ปลาย แว้บๆเข้ามาในห้องน้ำ พี่ก็ว่ามันเข้ามาทำอะไรกันแน่เลย พอเข้เสร็จ แทบจะทันทีนั้นแหละ จะมาดูหน้าหน่อยเผื่อรู้จัก รู้มั้ยอะไร? ห้องน้ำอ่ะมีพี่อยู่คนเดียวหว่ะ"

ผม ก็เดินๆมาถึงห้องเลขตอง ริมสุด พี่แกก็ลองบิดๆลูกบิดประตูดู แล้วก็เปิดไม่ออก ก็เลยไปห้องข้างๆ เป็นห้องเก็บเด็กดองครับ พี่แกก็บิดๆอยู่สองสามที ประตูก็เปิดผลุงออกมา แนวหลัง 5-6คนก็เหวอแล้วครับ ไปอยู่กันที่ตีนบันได พร้อมกับ ผลักผม กะไอ้แวน ไปหาพี่ที่จับลูกบิดประตูค้างไว้

ไฟมือถือรุ่น 2100จะสว่างกว่ารุ่นจอขาวดำทั่วไปอยู่เล็กน้อยน่ะครับ ผมตอนนี้ที่อยู่หน้าห้องกับไอ้แวน ก้าวเข้าไปในห้อง 3ก้าว ไฟมือถือในมือสาดซ้าย-ขวา เก้าอี้ถูกคว่ำไว้บนโต๊ะ... ยกเว้น เก้าอี้ในสุด ติดตู้
ปรากฎเป็นเงาของผู้ชายใส่ชุดคล้ายชุดนักเรียนไว้ผมยาว แต่มันเป็นเงาดำมืดมาก นั่งบนโต๊ะ เอาแขนเท้าขาเก้าอี้ที่คว่ำอยู่

ผมถามแวน "มืงเห็นแบบที่กูเห็นไหม"

มันพยักหน้ายิก

ไอ้พี่คนที่เปิดประตูห้องมา วิ่งอย่างไวไปที่ตีนบันได

ส่วนผม ทั้งอ้วน ทั้งเตี้ย ปิดประตูค่อยๆแล้วเดินตาม... เดินครับ ตามพวกพี่นั้นไป

พอถึงบันไดเท่านั้นแหละ ผมโดดพรวด แทบจะแซงพี่ๆพวกนั้น ลงไปอยู่หน้าตึกสีเทาในแผนที่ทันทีทันใด

พี่คนนั้นก็หัวเราะในลำคอ "เป็นไง สนุกมั้ย"

"เออ พี่ วิ่งก่อนผมอีกนะ"

ยังไม่จบหรอกครับ พี่แกพาเดินผ่านตึกไม้ ตึกสีน้ำตาลแหละครับ เป็นตึกแรกของโรงเรียนที่สร้าง แน่นอน มีอาถรรพ์

แล้วตึก ก็เฉือกเปิดอีก แกพาเดินขึ้นตึกมา พร้อมเล่าว่า

"เนี่ย ตึกเนี้ย มีคนเห็นผอ.เก่าที่ตายไป มาเดินเทียวไปเทียวมาตอนตะวันยังไม่ลับเลยนะ ส่วนมากจะเห็นสะท้อนในกระจกตู้ถ้วยรางวัลอ่ะ"

พี่แกพูดจบ พอดีกับถึงตู้ถ้วยรางวัลนั่นพอดี

ไอ้แวนครับ สั่นงกๆๆ มาจับที่ตัวผม ผมก็เฉยๆไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไหร่

"ไม่มีอะไรแล้ว กลับดีกว่า" พี่แกบอก

แล้วก็มายืนคุยกันตรงวงกลมสีน้ำเงินในแผนที่ ก่อนกลับแวนมันก็บอกพวกพี่ๆว่า

ตอนอยู่ ตึกไม้ ที่เดินผ่านหน้าห้องกระจก ขนมันลุกซู่เลย แถวยังหนาวอีก แต่พอมันจับตัวผม มันหายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังรู้สึกอุ่นในกายอีก มันก็ถามมืงใส่พระอะไรหรือเปล่า

ผมก็เอาให้มันดู รู้สึกจะขุนแผน พลายกุมารนะครับ ผมก็ไม่แน่ใจ ผมมีพระขุนแผนอยู่ 3องค์ ขุนแผนพลายกุมาร
(ทำหายที่รีสอร์ทตอนไปเชียงใหม่) ขุนแผนวัดไผ่ล้อม แล้วก็พระขุนแผนดินเผาซึ่งทำตกแตกไปนานแล้ว(ตอนนี้ไม่ทราบว่าอยู่ไหน พ่อคงเอาไปไว้วัดให้แล้ว)

เล่นซ่อนแอบ


เรื่องแรกนี่เป็นเรื่องสมัยที่ผมยังเด็กอยู่ ที่บ้านผมนี่คุณแม่ทำเป็นโรงเรียนอนุบาลด้วย ทำให้มีตึกหลายหลังด้วยกัน มีทั้ง

บ้านผม (จริงๆ ของแม่อ่ะ) บ้านยาย บ้านของคนเก่าคนแก่ที่อยู่มาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด ตึกที่เป็นโรงเรียนอีก รวมๆ แล้วก็ 6 หลังด้วยกัน ผมเองมีพี่น้อง 3 คน บวกกับลูกหลานคนที่อยู่ในบ้านอีก5-6 คน เพราะฉะนั้นเวลาจะเล่นอะไรนี่จะมันมาก เพราะมีพื้นที่ แล้วก็เด็กเยอะไง แล้วที่สำคัญ ผมแก่เป็นที่ 3 ในเด็กทั้งหมด อิอิ ไม่เลวใช่มั้ยล่ะ ยังไงก็ไม่ที่โหล่แหละ กิจกรรมที่นิยมเล่นกันแบบเป็นชิ้นเป็นอันในสมัยนั้นก็ จะมี “ซ่อนหา” กับ “ไล่จับ” นี่แหละ ที่ฮิตที่สุด เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าแล้วมันต่างกันยังไง ขอบอกว่านี่เป็นกฎของบ้านผมนะ ของคนอื่นอาจ จะต่างกันก็ได้ กฎก็คือ ซ่อนหาสามารถที่จะซ่อนตัวเองได้ แล้วก็ซ่อนกันแบบน่ากลัวจริงๆ ปีนไปอยู่บนหลังคางี้ ใต้ท้องรถงี้ น่ากลัวทั้งนั้นเลย

จนต้องมีการออกกฎว่าซ่อนที่ไหนได้บ้าง ไม่งั้นบางทีหากันจนเลิกเล่นแล้วยังหาไม่เจอ ส่วนไล่จับนั้น ห้ามซ่อนครับ หลบได้อย่างเดียว คือ หลบแล้วแอบๆ ดู แล้ววิ่งหนีเอา ถ้าคนไล่เห็นเข้าก็ซวยไป แต่โชคก็ดีกันนะครับ เล่นกันมาตั้งหลายปีไม่เห็นเคยเจออะไรเลย จนกระทั่งวัน หนึ่ง
วันนั้น เราเล่นไล่จับกันอีกตามเคย ผมเองตอนนั้นอายุประมาณ 11-12 ขวบนี่แหละครับ กำลังห้าวไง ปกติเวลาซ่อน สมัยก่อนมักจะไปกับพี่สาว อยู่กัน 2 คน ค่อยอุ่นใจหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีทาง พี่สาวกลายเป็นตัวถ่วงซะแล้ว เราอายุขนาดนี้แล้ว พี่วิ่งช้ากว่า

เรา ไปคนเดียวดีกว่า 555 พอคนไล่เริ่มนับ เราก็วิ่งฉีกหนีไปคนเดียวทันทีด้วยความมั่นใจว่า ยังไงก็ไม่โดนจับคนแรกแน่ๆ มือชั้นนี้แล้ว เริ่มแรกก็ไปแอบอยู่แถวๆ เครื่องเด็กเล่นหน้าโรงเรียน พอเห็นคนที่ไล่จับเดินไปอีกทางก็ย้ายไปแอบแถวครัว (อยู่ตึกหลังใกล้ๆ กับโรงเรียน) อยู่สักพักเห็นมันสว่างไปเดี๋ยวคนเห็น เลยเขยิบไปอยู่ด้านหลังตึกที่สร้างใหม่ที่อยู่ติดกับครัวแทน (เล่าประวัติตึกนี้นิดนึงละกัน ตึกนี้เดิมทีเดียวเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวครับ คนที่อาศัยอยู่เป็นแม่นมของยายผม อายุมากแล้ว แกตายตั้งแต่ผมยังเด็กๆ อยู่เลย พอแกตายไปบ้านก็โทรมลง

จนกระทั่งแม่รับคนมาเพิ่มจำเป็นต้องหาที่ให้เค้าอยู่ก็เลยรื้อบ้านนี้ แล้วสร้างตึกใหม่ 2 ชั้นทับเข้าไปแทน) เอาหล่ะ กลับมาที่หลังตึกนี้กันดีกว่า ผมเองพอย้ายมาแอบที่ตึกหลังนี้ ด้วยความกลัวคนเจอก็เล่นไปแอบอยู่หลังตึกซะเลย ซึ่งเป็นทางเดินแคบๆ กว้างประมาณ 2 ฟุตเท่านั้นแล้วก็ไม่มีไฟเปิดอยู่ มีแต่แสงสลัวๆ ของไฟจากครัวข้างๆ ผมแอบอยู่ตรงมุมตึก ซึ่งมีห้องน้ำอยู่ตรงหัวมุมพอดี ระหว่างที่ผมแอบอยู่นั้น ก็ คอยชะโงกหน้ามองผ่านมุมตึกอยู่เป็นระยะๆ ว่ามีใครมาหรือเปล่า เพราะว่าด้านหน้าตึกจะเป็นทางเดินแล้วมีไฟอยู่ ถ้ามีคนเดินมาผมต้องเห็นเงาก่อน ผมก็สามารถวิ่งไปอีกทางได้
(โห สมัยนั้นคิดว่าโคตรฉลาดเลย คิดได้ไงเนี่ย)

ขณะที่ผมชะโงกหน้ามองออกไปอีกครั้งนั่นเอง ผมเห็นมีเงาคนเดินมาแล้ว เป็นเงาที่โยกเยกไปมาเหมือนคนกำลัง เดินอยู่ เอาล่ะผมคิดในใจ ผมต้องวิ่งอ้อมออกไปอีกทางแล้ววนมาจัดการกับคนไล่ให้ได้ 5555 มันจะได้เป็นคนไล่จับอีกรอบ ระหว่างที่แอบสะใจอยู่นั่นเองผมก็วิ่งอ้อมไปทันที พอผมโผล่หน้าไปมองที่ทางเดิน ซึ่งผมคาดไว้ว่าจะต้องเห็นไอ้คนที่ไล่จับอยู่แน่ๆเพราะเมื่อกี้เห็นเงามันเดินอยู่นี่ เราวิ่งมาชัดๆ ต้องทันเห็นหลังมั่งแหละ ที่ไหนได้ ไม่มีใครแฮะ ยังครับ ยังไม่คิดอะไร รีบวิ่งไปที่หัวมุมทันที่ เพราะตรงนั้นมันเป็นทางเลี้ยวคาดว่ามันคงเลี้ยวไปแล้ว ไม่เป็นไร เราไล่ตามไปก็ได้ พอไปถึงมุมก็ชะโงกหน้าไปมองทันที อ้าว ไม่เห็นมีใครเลย ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ (ทางเดินอีกข้างยาวมากๆ ไม่มีทางที่จะวิ่งไปแล้วมองไม่เห็น) เอาละวะ มันคงวิ่งเร็ว เรากลับมาแอบที่เดิมก็ได้

ว่าแล้วก็กลับมาแอบอยู่หลังตึกเหมือนเดิม ระหว่างที่แอบอยู่นั่นเอง ผมได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำหยด “ติ๋งๆๆๆๆๆ” เอ เมื่อกี้มันก็ไม่หยดนี่หว่าแต่ยัง ยังไม่คิดว่าจะมีอะไร ก็เลยมองไปที่ห้องน้ำ ปรากฏว่าประตูห้องน้ำเปิดอยู่แฮะ เอ แล้วนั่นมันตัวอะไรหว่า (ด้วยความที่มันมืดไงมองไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไหร่หรอก) พอสายตาปรับกับความมืดได้ สิ่งที่เห็นมันคือตัวอะไรก็ไม่รู้ หน้าเรียวๆ หูแหลมๆ แถมคอมันยาวๆ ยื่นออกมาจากห้องน้ำ ไม่เห็นตัวนะ แล้วก็ส่ายหัวไปมา มองมาที่เราด้วย เหมือนสงสัยว่าไอ้นี่มันมาทำอะไรตรงนี้ฟะ ไอ้ตอนนั้นก็แปลกนะไม่รู้สึก

กลัวเลย แค่สงสัยว่าตัวอะไรหว่า แล้วก็วิ่งหนีไปเล่นไล่จับต่อ จนเลิกหน่ะแหละ คิดได้เลยเล่าให้คนอื่นฟัง แล้วก็เกิดกลัวขึ้นมาทันที หยุดเล่นไล่จับไปหลายปีเลยอ่ะ เรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละครับ เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าไม่น่ากลัว

ผีเข้า

Requiemผีเข้า... ? 

กำกับ Hans Christian Schmidt
“สร้างจากเรื่องจริงของ แอนนิลิส มิเชล นักศึกษาวัย23 ในเมืองมิลเทนเบิร์ก เยอรมัน
ซึ่งเสียชีวิตจากภาวะอ่อนเพลียและขาดอาหารระหว่างทำพิธีไล่ผี


ก่อนหน้านั้นเธอเคยบอกว่า .. เธอเป็นซาตาน และเห็นผี
เห็นปีศาจ...แห่กันมาเป็นฝูง !!!”
นี่คือข้อมูลบางส่วนจากภาพยนตร์เยอรมันเรื่องนี้ ที่พออ่านจบก็ได้แต่นึกอยู่ในใจว่า ...นี่คงเป็นเรื่องราว ที่เป็นต้นฉบับของหนังดังอมตะ “หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์”เป็นแน่ และน่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่ว่าด้วยความผิดปกติในด้านจิตเวช นั่นคือป่วยด้วยโรคประสาทฮิสทีเรีย (Hysterical psychosis) ประเภทผีเข้า-เจ้าสิง (Spirit possession OR Dissociative type)


มิคาเอล่า คลิงเกอร์(ซานดร้า ฮิลเลอร์) ผู้มีอาการลมชักมาตั้งแต่วัยแรกรุ่น
และกำเริบหนักเมื่อเข้าสู่วัย 18 จนต้องพักการเรียนในไฮสกูลถึง 1 ปี 
ต่อมาเธอกลับฮึดสู้ มุมานะจนเรียนจบมัธยมและยังได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ท่ามกลางความห่วงใยอย่างที่สุดของพ่อและแม่ แม้ลูกสาวจะยืนยันว่า  “ 6 เดือนแล้วนะ ที่หนูไม่มีอาการอะไร”


ครอบครัวคลิงเกอร์นั้นเคร่งศาสนาเป็นอันมาก พวกเขาต่างปฏิบัติศาสนกิจกันอย่างครบถ้วน
โดยเฉพาะคนที่เป็นแม่ ดูจะเคร่งครัดกว่าใครอื่น
ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกแบบเคร่งเครียดจริงจัง สไตล์ไม้บรรทัด(Perfectionism) ของเธอ  


ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มักเกิดอาการ “เกาเหลา”(ขัดแย้ง,ไม่กินเส้น)กับลูกสาววัยรุ่นอยู่เสมอ...
ครอบครัวที่อยู่กันอย่างอบอุ่น(หรือร่มเย็นเป็นสุข-ในทัศนะของไทยเรา)นั้น
คนในบ้านมักจะมีคุณสมบัติแห่งการสื่อสารในเชิงบวก  เช่น  รู้จักฟัง(ฟังอย่างเอาใจใส่), รู้จักพูด
(พูดกันอย่างประคับประคองความรู้สึกของอีกฝ่าย)
รู้จักแสดงความรัก(สบสายตา,โอบกอด,ปลอบโยน)
แต่...คนที่เป็นแม่ในครอบครัวคลิงเกอร์ กลับมีโทษสมบัติที่มักสื่อสารกับคนในบ้าน
(โดยเฉพาะกับลูกสาว)ในเชิงลบ ( ไม่รู้จักพูด-ฟัง-แสดงความรัก
แต่หนักไปในทางตำหนิ-ติ- ด่า ปฏิกิริยาเย็นชาและท่าทีไม่ยอมรับอื่นๆ
เช่น หลบตา,ทำท่าแข็งเกร็ง เมื่อลูกสาวเข้าใกล้หรืออยากเข้ามากอด)
ก่อให้ลูกสาวเกิดความสับสน น้อยใจ และเก็บกด ในขณะที่บรรยากาศในบ้าน
มักเกิดความบาดหมางและตึงเครียดอยู่เสมอ
พ่อ   “ฉันขอกินอาหารเย็นอย่างสงบสุขสักวัน...จะได้มั้ย???”
ยิ่งลูกสาวคนโต(มิคาเอล่า)จัดได้ว่าเป็นเด็กที่มีความเปราะบางทางชีวภาพ
และทางอารมณ์อยู่แล้ว(อ่อนไหวง่าย-เครียดง่าย) โอกาสที่จะป่วยด้วยโรคทางจิตเวชจึงมีแนวโน้มสูง
( จากการวิจัย ในปี 1987 ของ Wiseman, Hahlweg และ คณะ)


และแล้ววันหนึ่ง ...ความสัมพันธ์ของแม่-ลูก คู่นี้ จึงถึงจุดปรอทแตก
...  แม่มองลูกสาวอย่างดูแคลน เมื่อลูกโชว์ชุดไหมพรมรัดรูปที่เพิ่งซื้อมาหมาดๆ
แม่(ประชด)  “นี่มันช่างเหมาะกับแกแล้วซินะ!”
ได้ยินดังนั้นลูกสาวถึงกับรีบจ้ำเดินขึ้นห้องอย่างน้อยใจ
มิคาเอล่าถอดชุดโปรดนั้นพับเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า


แต่ครู่ต่อมาก็ไม่พบเสื้อชุดนั้นเมื่อเปิดตู้อีกครั้ง เธอจึงรู้ทันทีว่า แม่เอามันไปทิ้งขยะ
“ทำไมแม่ทำอย่างนี้??!” มิคาเอล่าถามแม่เสียงกร้าว
แม่สวนกลับด้วยเสียงที่กร้าวกว่า“ถามตรงๆ ทำไมชอบแต่งตัวเหมือนพวกกระหรี่!!!”
มิคาเอล่า “หนูก็ขอถามตรงๆ...แม่เคยแคร์ความรู้สึกของหนูบ้างมั้ย???”
…..เพี๊ยะ!!! …..ฝ่ามือหนักๆของแม่ ฟาดเปรี้ยงเต็มหน้าลูกสาว


วันนั้นแม้มิคาเอล่าจะตามครอบครัวไปโบสถ์ดังกิจวัตร แต่ก็เต็มไปด้วยความ
ขมขื่นและขุ่นแค้น  ในที่สุดเธอก็วิ่งเตลิดออกไปกลางพิธีสวด กลับมาที่บ้านแล้วร่ำไห้
อย่างหนัก และในวันนั้นเอง...เธอก็โดนผีร้ายเข้ามาสิงเหมือนเช่นเคย
แต่ครั้งนี้มันแผลงฤทธิ์อย่างรุนแรงและน่ากลัวยิ่งกว่าทุกครั้ง!
กระทั่งสร้อยประคำที่แม่ให้ไว้กันผี
ต้องถูกดึงทึ้งและเขวี้ยงทิ้งอย่างไม่เหลือดี


มิคาเอล่า(หลังจากผีผละออกจากร่าง)“มันวิ่งพล่านออกจากนิ้วของหนู 
...หนูแตะไม้กางเขนไม่ได้ หนูทำอะไรก็ผิดไปหมด เมื่อคืนพวกมันก็มากันยั้วเยี้ย 
...ผีหน้าสยดสยองมันตะคอกหนูว่า นังโสโครก-สำส่อน...”


ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธอสารภาพกับสองบาทหลวงที่มีความเห็นไปคนละทาง

หลวงพ่อชรา  “เหลวไหล ไร้สาระ เรื่องบ้าๆพรรค์นี้มีแต่จิตแพทย์เท่านั้นแหละ ที่จะรับฟัง” 
หลวงพ่อหนุ่ม(หล่อ) “เด็กผู้หญิงคนนี้ต้องการให้ผมช่วย (ไล่ผี) ไม่ใช่ต้องไปพึ่งหมอหรือจิตแพทย์”


ในขณะที่ฮาน่าเพื่อนรัก และแฟนหนุ่มของมิคาเอล่า มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า
เธอกำลังป่วยทางจิต และต้องรับการรักษาโดยจิตแพทย์อย่างรีบด่วน


ฮาน่า   “หยุดเถอะ! ผีมันไม่หนีไปไหนหรอก เพราะมันไม่มีตัวตน
ขืนยังทำพิธีขับไล่ต่อไป แล้วตัวเธอน่ะจะลงเอยยังไง???”


แต่แล้วในที่สุด ทั้งพระหนุ่มพระแก่ พ่อแม่ รวมทั้งตัวมิคาเอล่าเอง
ก็ตัดสินใจแก้ปัญหาอันเรื้อรังนี้ด้วยการสวดมนต์และทำพิธีไล่ผีต่อไป......


เรื่องของผีเข้า-เจ้าสิง ฝรั่งยุคนี้แทบจะหาคนโดนเข้าไม่ค่อยได้
แถมไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ ยกเว้นจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่ศึกษาในแง่ของ
โรคจิตเภท(Schizophrenia)  หรือ โรคประสาทแบบฮิสทีเรีย (Hysterical neurosis)


ส่วนในบ้านเรา ในบางท้องถิ่นได้กลายเป็นเรื่องของจิตเวชชุมชน
โดยเฉพาะชุมชนที่ยังยึดมั่นในขนบประเพณีแบบดั้งเดิม
ที่มีความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ เรื่องผี ปีศาจ ฯลฯ... 
เช่น  ในกรณีผีปอบ ที่ใครในท้องถิ่นนั้นก็มีโอกาสโดนสิงสู่ได้โดยฉับพลัน
แถมยังอาจไปกระตุ้นผู้อื่น(ที่มีความอ่อนไหว-ตึงเครียดง่าย และมีความเชื่อเรื่องผีอย่างเหนียวแน่น)
จนเกิดอารมณ์ร่วมกลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่( Chain Reaction)
หรือระบาดไปจนกลายเป็นอุปาทานหมู่ (Mass Hysteria)


มิคาเอล่านั้นแสดงออกถึง บุคลิกภาพที่แบ่งแยกอย่างชัดเจน
(ไม่ใช่เป็นแบบแตกแยก เหมือนผู้ที่ป่วยด้วยโรคจิตเภท
เช่น ดร.จอห์น แนช  ในหนังเรื่องBeautiful Mind)
และปรากฏการณ์นี้มิใช่เกิดจากการเสแสร้งแกล้งทำ
แต่เป็นอาการผิดปกติทางจิตชนิดบุคลิกซ้อน จิตถูกแบ่งแยกเป็น2 ด้านโดยอัตโนมัติ
(Multiple or double personality)


นั่นหมายถึง...ในภาคปกติ เธอคือสาวน้อยน่ารัก รักและเชื่อฟังพ่อแม่ หมั่นสวดมนต์
เป็นศาสนิกชนที่ดี  มีความตั้งใจเล่าเรียน
ส่วนในภาคอปกติ เธอจะแปรเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้ว เป็นอมนุษย์ที่ก้าวร้าวและป่าเถื่อน


แต่ที่ประหลาดก็คือ พฤติกรรมที่ทั้งถ่อยเถื่อนและน่ากลัวนั้น
มันได้แปรออกมาจากความโกรธและเคืองแค้นที่เธอเก็บกดอยู่ในจิตใจอย่างเรื้อรัง
แน่นอน...มิคาเอล่าต้องกดเก็บความรู้สึกที่มีต่อบุคคลที่เธอทั้งรักทั้งชัง
นั่นก็คือ “แม่”ของเธอนั่นเอง 


แม่...ที่จะรักก็รักได้ไม่เต็มที่ ...จะนึกเกลียดก็เกิดความรู้สึกผิด
และบาป... นั่นเองเป็นสิ่งที่Egoยอมรับไม่ได้
(ego คือ จิตตัวที่คอยปรับความสมดุลระหว่างสันดานดิบและมโนธรรม)


อาการผีเข้าจึงเป็นกลไกทางจิต ที่ตอบสนองความต้องการระบายความก้าวร้าวรุนแรง
ความเป็นอริ ที่ฝังอยู่ในใต้จิตสำนึก(Primary gain)


ก็คล้ายเด็กวัยรุ่นบางคน
หาทางออกโดยการกลายเป็นพวกเกเรอันธพาล ติดยาเสพติด
หรือเป็นไปในทางสร้างสรรค์ เช่น ระบายไปกับการเล่นกีฬา หรือ
ศิลปะแขนงต่างๆ เพียงแต่มิคาเอล่าเบี่ยงเบนไปในทางอำนาจลึกลับ!


“ผี” จึงเป็นสัญลักษณ์ (Symbolic)
ของการผ่อนคลายความตึงเครียดและขุ่นแค้น
ที่สุมแน่นอยู่ในจิตใจ (Psychic Trauma =ความชอกช้ำหรือ บาดแผลทางใจ)
ทั้งสิ่งที่เธอได้รับโดยอ้อมจากการโดนผีเข้าก็คือ การห่วงใยเอาใจใส่
และให้อภัย (Secondary gain) จากผู้ใหญ่ หรือผู้มีอำนาจ (โดยเฉพาะ “แม่”)
ส่วนเสียงดุด่าของผี(...นังสารเลว...นังสำส่อน  ฯลฯ )ที่ได้ยินทุกครั้งที่อาการกำเริบก็คือ
เสียงที่เจ้าตัวปั้นขึ้นมาเองจากนโนสำนึก(Super-ego) ที่มักได้รับการปลูกฝัง หรือดุด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  
ปรมาจารย์ซิกมันด์ ฟรอยด์เรียกว่า เสียงแห่งศีลธรรม
( Voice of conscience)


เหตุใดคนเป็นแม่ จึงเกิดอาการ “ไม่กินเส้น”กับลูกสาว?  
หนังเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอปูมหลังให้เห็น แต่สาเหตุที่แม่กับลูกสาวไม่ลงรอยกันนั้น 
โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นจาก...ความไร้วุฒิภาวะของคนเป็นแม่(ที่เจ้าอารมณ์
และมีความคิดแบบเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ)...ไม่รู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นผู้หญิง...ถูกปลูกฝัง


ทั้งจากครอบครัวและประสบการณ์ในอดีต หรือจากประเพณีความเชื่อในชุมชนนั้นๆ
แม่ลักษณะนี้จึงมักมีอคติ หรือมีความริษยาอย่างไร้เหตุผล ...


ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แม้ในบางท้องถิ่นจะยังคงขนบประเพณีการไล่ผี
เพื่อรักษาสังคมนั้นๆไว้ แต่ก็ได้บัญญัติข้อจำกัดไว้อย่างมากมาย การทำพิธีไล่ผีจึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ
( เช่น พระที่จะทำการไล่ผี จะต้องได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากพระสังฆราชประจำท้องถิ่นนั้น) 
จากโลกยุคกระสวยอวกาศมาถึงยุคดิจิตอล และกำลังย่างก้าวสู่โลกยุคพัฒนาการทางสมอง
(Decade of the Brain) กรณีผีเข้า-เจ้าสิงได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เกิดขึ้นจากสาเหตุทางจิตใจ
ที่มีผลต่อพฤติกรรมหลายอย่างที่ผิดปกติ วิทยาการทางการแพทย์จึงถือว่า


คนที่โดนผีเข้า คือ
ผู้ที่เจ็บป่วยทางจิตใจ ที่จะต้องได้รับการเยียวยารักษาโดยด่วน...


วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รวมภาพถ่ายวิญญาณสยอง


บอกได้คำเดียว  หลอนนนนนนน

สังเกตุดูคนในภาพที่วงไม่มี"หัว" มองแล้วน่าขนลุกแทนครับ

ไมค์ ตำนานไก่ไร้หัว ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้

ไมค์ ตำนานไก่ไร้หัว ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ หลังจากที่คอถูกตัดขาดจากตัวได้นานถึง 18เดือน!!!

เรื่องราวเกิดขึ้นวันที่ 10 กันยายน 2488 เมื่อนายลอยด์
ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มไก่แห่งหนึ่ง ในฟรูอิคทา รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐฯ ลงมือเชือดไก่ เพื่อนำไปขายที่ตลาดและเป็นอาหารมื้อเย็น

เย็นวันนั้นสามีภรรยาครอบครัวโอลเซ่น ( Olsen) ตั้งใจจะทำเมนูไก่เป็นอาหารมื้อค่ำ โดยเจ้าไมค์คือไก่เคราะห์ร้ายที่คู่สามีภรรยาเลือกเพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารข ึ้นโต๊ะ
แต่เมื่อนายโอลเซ่นได้ลงคมมีดฟันคอเจ้าไมค์ฉับ!!! เลือดไก่กระจายลงเขียง และท่ามกลางกองเลือดไก่และเศษขนไก่นั้น นายโอลเซ่นก็ต้องตะลึงพรึงเพริด เมื่อเจ้าไมค์ที่ไม่มีหัวนั้นยังไม่ตายแถมโดดลงจากเขียงและพยายามจะวิ่งหนีไป
ทีนี้นายโอลเซ่นเลยหมดความต้องการจะกินเจ้าไมค์ในทันใด (กินลงอีกก็แปลกล่ะ) ก็เลยเอาเจ้าไมค์ไปเก็บไว้ในเล้าตามเดิม
     
ในวันรุ่งขึ้นเจ้าของกลับว่าเจ้าไมค์กลับมาอยู่เล้าทั้งๆที่ไม่มีหัว แล้วยังทำท่าคุ้ยเขี่ยหาอาหารเหมือนกับไก่ทั่วๆไปผิดแต่ว่ามันไม่มีหัวเท่านั้นเอง!

เจ้าของเลยสงสัยว่ามันอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เลยเลี้ยงไปเรื่อยๆ โดยให้อาหารด้วยที่หยอดตาผ่านทางหลอดอาหาร
การดำรงอยู่ของไมค์ สร้างความแปลกใจให้กับลอยด์อย่างยิ่ง เขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเจ้าไมค์ไก่ยอดทรหด ลอยด์รู้ได้ทันทีว่า " เจ้าไก่ตัวนี้ไม่ธรรมดา " เป็นแน่แท้ มันพยายามดำรงชีวิตตามปกติ เช่น กระโดดขึ้นไปขันในตอนเช้า ( ทั้งที่ไม่มีหัว) บนขื่อสูงๆ ( มันกระโดดปีนไปเกาะถูกได้ไงฟระ ???) และพยายามไซร้ขนเพื่อกำจัดเห็บไร ซึ่งเป็นปรสิตสามัญประจำตัวไก่


ส่วนลอยด์ก็ให้อาหารแก่ไมค์ด้วยการใช้หลอดยาหยอดตามาหยอดข้าวและน้ำลงไปผ่านลำคอของไ มค์ จนหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ไมค์ยังคงสภาพเป็นสิ่งมีชีวิต ทั้งที่หัวถูกดองอยู่ในขวดโหลด้วยความสงสัย เขาจึงพาไมค์ไปที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ ซอลท์เลกซิตี้ ห่างจากบ้านเขาประมาณ 400กิโลเมตร ท่ามกลางความงงเต็กของบรรดานักวิทยาศาสตร์
แต่ก็ยังพอมีคำอธิบายเหตุการณ์ประหลาดได้ว่า.... " เอ่อ......อันเนื่องมาจากตอนที่คุณลอยด์จามขวานลงมาบนคอของไมค์นั้น คมขวานไม่ได้ตัดตรงเส้นเลือดใหญ่ที่คอของมัน ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วพอที่จะอุดรอยแผลและไม่เสียเลือดจนดับสิ้นสิ้นชีวาวาย ถึงมันจะอยู่ในสภาพไม่มีหัวที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตมากนัก ก็เพราะสมองส่วนใหญ่อยู่บนตัวของมัน ซึ่งสั่งการขั้นพื้นฐานอย่างการหายใจ ควบคุมการเต้นของหัวใจและปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็ยังอยู่พร้อมกับหูข้างซ้ายคร ับ "

เมื่อเป็นดังนั้นลอยด์มองเห็นลู่ทางหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองจากไมค์ ไก่ไร้หัวชัดขึ้น โดยไม่ต้องปรับจูนอะไร เขานำเจ้าไมค์เดินสายโชว์ตัวทั่วอเมริกา เก็บค่าเข้าชมเหนาะๆ แค่คนละ 25 เซ็นต์

ไมค์ ไก่มหัศจรรย์ (Miracle Mike) เป็นสมญานามใหม่ของไมค์ซึ่งลอยด์ตั้งให้กับมัน ลอยด์ตั้งค่าตัว ( รวมส่วนหัวที่อยู่ในขวดดอง) ไว้ที่ 10,000ดอลล์ ( มากพอดูสำหรับค่าเงินเมื่อ 63 ปีก่อน) แถมพกด้วยลอยด์ทำประกันชีวิตให้ไมค์ถึง 10,000 ดอลล์เช่นกัน

นอกจากนี้เจ้าไมค์ยังเป็นนายแบบและเรื่องราวลงตีแผ่บนหนังสือดังๆ เช่น ไลฟ์แม็กกาซีน นิตยสารไทม์ และกินเนสบุ๊คเป็นต้น เมื่อมีดารานำดังซะขนาดนี้ พฤติกรรมเลียนแบบดาราก็ติดตามมาเช่นกันทันทีที่ข่าวกระจายออกไป หลายคนพยายามลอกเลียนแบบลอยด์ แต่ก็เกือบมีคนเลียนแบบสำเร็จ เมื่อชายผู้ไม่ประสงค์ออกนาม แต่อยากดังแบบเดียวกับลอยด์บ้าง เขาเปิดเผยว่าเจ้าลักกี้ (Lucky) ไก่ของเขาก็แสดงปาฏิหารย์แบบเดียวกันกับไมค์ แต่มีชีวิตอยู่ได้เพียง 11 วัน ซึ่งเจ้าลักกี้กลับไม่ชำนาญกับการใช้ชีวิตแบบไร้หัว มันเข้าไปติดอยู่ในปล่องไฟตายอย่างอนาถ
พอถึงบทจะตายไมค์กลับต้องมาตายแบบง่ายดายเกินคาด หลังจากที่ไมค์เดินสายโชว์ตัว (หัวไม่เกี่ยว) ลอยด์กับไมค์แวะพักที่โรงแรมอริโซน่า ขณะที่พักในคืนนั้น เม็ดข้าวโพดดันไปติดอยู่ในหลอดลมกระทันหัน อันที่จริงลอยด์ประสบเหตุการณ์แนวๆ นี้บ่อยมาก และก็ช่วยได้ทุกครั้ง แต่มาครานี้ พระเจ้ากลับไม่เข้าข้าง ท่านเห็นสมควรดึงไมค์ขึ้นมาโชว์ตัวบนสวรรค์เสียที ประจวบเหมาะกับลอยด์หาที่หยอดตาไม่เจอ ไมค์จึงลาออกจากการเป็นสิ่งมีชีวิตไร้หัวในคืนนั้น รวมไมค์ดำรงชีวิตแบบไม่ต้องใช้หัวได้นานถึง 18 เดือน

แม้นเหตุการณ์จะผันผ่านมาแล้วหลายปีดีดัก แต่ชาวเมืองฟรูอิทายังรักและคิดถึงมัน ต่อมานายแซลลี่ เอดิงตัน (Sally Edinton) ผ.อ.สภาหอการค้าเมืองฟรูอิทา กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันไมค์ ไก่ไร้หัว (Mike The Headless Chicken Day) ท่ามกลางความเห็นชอบของชาวเมือง จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีเหตุผลนอกเหนือจากระลึกถึงเจ้าไมค์แล้ว ยังสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลก แม้จะมีอุปสรรคมากเพียงใดก็ตาม
แน่ละครับเรื่องนี้ไปเข้าหูพวกสื่อมวลชนโดยนิตรสาร TIME มาขอทำเรื่องนี้ทำให้เจ้าไมค์ดังเป็นพลุแตกเลย ยังผลทำให้มีคนเลียนแบบทั่วประเทศก็เลยทำให้ทุกบ้านมีไก่ย่างกินเป็นอาหารเย็นกันทุก วันแต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ และในช่วงสุดท้ายของชีวิตของไมค์ตายโดยเมล็ดข้าวโพดเข้าไปติดหลอดลมตายซึ่งนับจากวัน ที่หัวขาดจนวันตายนับได้ประมาณ 18 เดือนพอดี พอเจ้าไมค์ตายเจ้าของก็เสียใจมากเลยจัดตั้งวัน ' ไมค์ไก่ไร้หัว ( Mike the headless Chicken Day)'
ขึ้นมาทุกๆ ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน

เหี้ยมโหด พิธีบูชายัญอุบาทว์ ในอินเดีย


เหี้ยมโหด พิธีบูชายัญอุบาทว์ ในอินเดีย !!
เรื่องที่อ่านต่อไปนี้ เป็นการสะท้อนความเชื่อ ประเพณีแบบผิด ๆ ขาดศีลธรรม และชักจูงสังคมส่วนใหญ่ให้เห็นว่าความโหดเหี้ยม อำมหิตผิดมนุษย์ เป็นเรื่องที่ชนเผ่าชาว " เคอร์มัน " ในประเทศอินเดีย หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากกัลตาตาไปทางทิศเหนือ 220 กิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศอินเดียกับบังกลาเทศ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในป่าทึบห่างไกลความเจริญ ชาวเคอร์ปันดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวและพืชผัก ส่วนผู้ชายจะออกล่าสัตว์มาเป็นอาหารเนื้อประเพณีความเชื่อที่โหดร้ายแห่งนี้จะกระทำกัน 1 ครั้งต่อปี และจัดเป็นประจำทุกปี

โดยพิธีบูชายัญนี้มีชื่อเรียกว่า " กาจัน " อันเป็นประเพณีที่ชนเผ่านี้จัดขึ้นเพื่อบูชาต่อพระศิวะผู้เป็นใหญ่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอพรต่อองค์พระศิวะเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ของเขา ให้มาประสาทพรอำนวย ให้พวกเขาได้รับความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องอาหาร การกิน ปลอดภัยจากศัตรูและสัตว์ร้าย รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บด้วย โดยสิ่งที่จะนำมาเป็นเครื่องสักการะบูชายัญต่อองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ของเขา เพื่อให้เทพพอพระทัยก็
คือ ศีรษะบุตรชายคนแรกของครอบครัว
ดังนั้นชนเผ่าแห่งนี้จะเข้มงวดให้เรื่องของการแจ้งจำนวนสมาชิกของครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีภรรยาตั้งท้องเป็นบุตรคนแรก จะต้องแจ้งให้ทางหัวหน้าเผ่าทราบ เพราะจะได้นำมาเป็นเครื่องบูชายัญในพิธีกรรมดังกล่าว

ซึ่งหากในปีไหนมีเด็กชายคนแรกของครอบครัวเกิดเยอะ พวกเขาก็ยินดีปรีดาเป็นอย่างมากที่จะได้ทำการบูชายัญให้เป็นที่พอใจต่อองค์พระศิวะ เนื่องจากมีจำนวนศีรษะของเด็กชายมาประกอบพิธีหลายหัวนั่นเอง

พิธีบูชายัญอุบาทว์นี้จะกำหนดขึ้นในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ของเดือนหนึ่งในปีนั้น ชนเผ่านี้เรียกคืนนี้ว่า ศิวาราตรี ทุกคนในหมู่บ้านจะออกมาชุมนุมกันโดยมีหัวหน้าเผ่าเป็นประธาน จากนั้นจะมีการร้องรำทำเพลงเพื่อสรรเสริญต่อเทพศิวะ จบแล้ว หัวหน้าเผ่าจะสั่งให้คนที่เป็นพ่อ นำบุตรชายคนแรกของครอบครัว มาที่แท่นบูชาต่อเบื้องหน้ารูปสลักศิวเทพ จากนั้นผู้เป็นพ่อจะใช้มีดปลายงอคล้ายมีดกูรข่าซึ่งคมกริบ ฟันคอลูกชายของตนเองจนขาดออกจากกัน แล้วจึงนำหัวของบุตรชายไปใส่สาแหรกที่เตรียมไว้ เพื่อนำไปร่วมในพิธีเต้นรำต่อไป และเมื่อหลังเสร็จพิธรแล้วผู้เป็นพ่อต้องนำศีรษะของลูกชายไปแขวนไว้ในบ้านของตน จนกว่าศีรษะนั้นจะผุสลายไปเอง ถ้ายังไม่ผุสลายก็ให้นำมาร่วมในพิธีบูชายัญของปีต่อ ๆ ไป

ประเพณีความเชื่อของชนเผ่านี้ ไม่มีใครรูว่าเกิดมาจากอะไร ทำไมชนเผ่านี้ถึงต้องหลงเชื่อในสิ่งที่ผิดและโหดเหี้ยมอย่างนี้ แต่ทุกวันนี้ชาวเผ่าเคอร์ยันยังคงประกอบพิธีการบูชายัญศีรษะบุตรชายคนแรกของครอบครัวอยู่ทุกปี..!

คนตัดหัวคือพ่อของเด็กเอง ....
แล้วแม่ของเด็กหละ ... ??
ร่วมยินดี ที่ลูกชายของตนเองจะได้ถูกนำไปบูชาองค์ศิวะเทพ ที่พวกเขาเคารพยิ่งชีพ หรือไม่ !?!

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ภาพนักรบสมัยกรุงศรีอยุธยา โผล่ช่วงจัดงานมรดกโลก


ภาพนักรบสมัยกรุงศรีอยุธยา โผล่ช่วงจัดงานมรดกโลก
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านใน อ.บางปะหัน จ.พระนคศรีอยุธยา ว่าที่บ้านเลขที่ 1/8 ม.8 ต.พุทเลา อ.บางปะหัน

มีภาพคล้ายนักรบโบราณปรากฏอยู่ที่ฝาบ้าน จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านใต้ถุนสูง ด้านล่างกั้นเป็นห้องเอาไว้จำนวน3 ห้อง ภายในบ้านมีชาวบ้านจำนวนมากจับกุมนั่งพูดคุยกันอยู่ ตรวจสอบภายในห้องกลาง มีโต๊ะตั้งอยู่มีกระถางธูปดอกไม้ ขวดน้ำอัดลม ที่ฝาผนังมีรอยคราบน้ำปรากฏอยู่อย่างชัดเจน คล้ายนักรบโบราณรูปร่างกำยำมีหนวดเครา สวมหมวก ยืนถือดาบครึ่งตัว
นางจำนง ไสยศรี อายุ39 ปี เจ้าของบ้าน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่12 ธ.ค.ช่วงบ่าย ตนเองนอนเล่นอยู่ภายในห้องสังเกตเห็นภาพของนักรบค่อยๆปรากฎขึ้นมาเป็นรูปร่าง

ตนตกใจมากรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านและเรียกญาติมาดู ต่างพากันเชื่อว่าเป็นภาพของนักรบยืนถือดาบหันข้างอยู่ จึงนำดอกไม้ธูปเทียนมาสักการะ ได้ต่อเติมห้องเพิ่มที่ด้านล่างของบ้าน ได้ประมาณ1 ปี ไม่ได้มีการทาสีแต่อย่างใดและไม่เคยมีคราบน้ำหรือภาพอะไรปรากฏมาก่อน เมื่อกลางปีที่ผ่านมาตนเองได้ซื้อล็อตเตอร์รี่และพูดเอาไว้ว่าถ้าถูกหวยจะทำศาลพระภู มิใหม่เพราะของเดิมชำรุดมากแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ถูกหวยมาตลอดติดต่อกัน ทุกงวดจำนวนกว่า 15 งวดแล้ว จึงได้นำคนทรงเจ้ามาเข้าทรงบอกว่าที่ดินบริเวณนี้เป็นที่แรง ถ้าอยู่แล้วทำดีจะให้โชคให้ลาภเขาไม่ที่อยู่จะขอที่อยู่ ตนเองฟังแล้วขนลุกจนทุกวันนี้ไม่กล้าเข้าไปนอนห้องดังกล่าว เจ้าที่อาจจะมาปรากฎภาพเพื่อเตือนสติตนเองเรื่องสร้างศาลพระภูมิ หลังทราบข่าวมีเพื่อนบ้านเข้ามากราบไหว้และขอโชคลาภ ถ่ายภาพเก็บเอาไว้ ตลอดทั้งวัน

ด้านนางเล็กไสยศรี อายุ74 ปี แม่ของนางจำนง เล่าว่า อยู่ที่บ้านนี้มากว่า 30 ปี ยังไม่เคยมีเรื่องราวลักษณะนี้เกิดขึ้น
เมื่อก่อนเคยเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย มีโจรมันเข้ามาจะขโมยวัวอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งตนจะได้ยินเสียงมีคนมาเขย่าประตูรั้วดังสนั่น พอออกมาดูเห็นโจรกำลังจะขโมยวัว และโจรจะเตลิดหนีทิ้งวัวควายไปทุกครั้ง ปู่ยาตายายเล่าให้ฟังว่าทุ่งบริเวณนี้เรียกกันว่าทุ่งผี เพราะเป็นที่ทิ้งศพนักรบทั้งไทยและข้าศึกที่เสียชีวิตในศึกสงครามสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นเส้นทางทำการรบของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ที่ทุ่งมะขามหย่องและทุ่งภูเขาทองที่สมเด็จพระนเรศวรรบกับข้าศึก 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลานี้ทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำลังจัดงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลกและมีการแสดงจินตภาพประกอบแสงสีเสียง เรื่อง กรุงศรีอยุธยา กษัตรามหาราชัน ชาวบ้านจึงร่ำลือกันว่า วิญญาญนักรบที่เสียชีวิตในศึกสงครามในบริเวณดังกล่าวมาปรากฎตัวให้เห็น
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ต้นน้ำเต้าผี

โปรดใช้วิจารณญาณในการชม
ต้นไม้ออกลูกผลมาหน้าคล้ายผี
ชาวบ้านแห่ชมจุดธูปขอหวยถูกรางวัลไปตามๆกัน
จนได้รับฉายาว่าต้น"เจ้าพ่อน้ำเต้าผีผีๆๆ"
ผลไม้แปลกประหลาดออกลูกมาหน้าต้าคล้ายผี

จนชาวบ้านแถวนี้เรียกว่าน้ำเต้าผีต้นไม้คล้ายต้นยางชนิดหนึ่งแต่ไม่ทราบชื่อ





รายการบล็อกของฉัน