มันเป็นเช้าวันศุกร์อันเงียบสงัดเมื่อ ก.ค. ปีที่แล้ว มีเรื่องราวโกลาหลเกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งทางเขตตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย สิตี นูรานิสะ (Siti Nurannisaa) นักเรียนหญิงวัย 17 ปี คือต้นตอของเหตุความวุ่นวายนี้ เรามาฟังคำบอกเล่าของเธอ
ตอนนั้นออดสัญญาณเรียกเข้าแถวดังขึ้น ฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนอย่างสลึมสลือ พร้อม ๆ กับความรู้สึกว่ามีอะไรหนัก ๆ แหลม ๆ มาแตะที่บ่า ฉันเอี้ยวตัวไปดูว่ามีใครอยู่ข้างหลัง จากนั้นห้องก็มืดลง
ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำ รู้สึกรวดร้าวไปทั้งแผ่นหลังราวกับกำลังถูกฉีก หัวเริ่มมีอาการหมุนก่อนที่ตัวจะล้มลงบนพื้นก่อนจะรู้ตัวว่าอะไรเกิดขึ้น ฉันมองเข้าไปใน "โลกอีกใบ" ที่เต็มไปด้วยกองเลือดและความรุนแรง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ฉันเห็นคือ ใบหน้าของปีศาจร้าย มันตามหลอกหลอนฉัน ฉันหนีมันไปไม่พ้น ฉันอ้าปากและพยายามแผดร้องออกมา แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงใด ๆ แล้วฉันก็หมดสติไป
อาการเสียสติอันพุ่งพล่านที่เกิดขึ้นกับสิติ ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องไปทั่วทั้งโรงเรียน เพียงไม่กี่นาที นักเรียนในห้องเรียนอื่นก็เริ่มกรีดร้องอย่างหวาดกลัว สะท้อนก้องไปมาไปทั้งโถงทางเดิน
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลมหมดสติหลังจากอ้างว่า เธอเห็นปีศาจตัวดำทะมึนตัวเดียวกัน
ทั้งนักเรียนและครูของโรงเรียนมัธยมเคอะเตเระห์ เนชั่นแนล ในรัฐกลันตัน ปิดล็อกขังตัวเองไว้ห้องเรียน ต่อมาโรงเรียนได้เชิญนักบำบัดทางจิตวิญญาณ ของศาสนาอิสลามมาทำพิธีสวดมนต์หมู่
ถือได้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้น มีผู้ที่ตกอยู่ในภาวะอุปาทานหมู่ 39 คน
อุปาทานหมู่ (mass hysteria) เป็นกลุ่มอาการทางร่างกายที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่แพร่ต่อ ๆ กัน แสดงอาการตื่นตกใจ กระตุกชัก โดยไม่รู้ตัว เมื่อตรวจทางการแพทย์แล้วไม่พบสาเหตุความผิดปกติทางร่างกายที่อธิบายได้
"มันเป็นอาการความเครียดสะสมที่ตอบสนองต่อการกระตุ้นที่ล้นเกินปกติของระบบประสาท" โรเบิร์ต บาร์โธโลเมว นักสังคมวิทยาการแพทย์ชาวอเมริกัน ระบุไว้ในหนังสือ Think of it as a software problem
การอุปาทานหมู่ไม่ถูกจัดว่าเป็นความผิดปกติทางจิต แต่ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับกลไกการเกิดขึ้น จิตแพทย์จากโรงพยาบาลคิงส์คอลเลจในกรุงลอนดอน อธิบายอาการอุปาทานหมู่ว่าเป็น "พฤติกรรมรวมหมู่"
"อาการของคนที่เกิดอุปาทานหมู่จะเป็นลม หายใจหอบเร็ว ปวดหัว คลื่นไส้ สั่น หรือชักกระตุก บ่อยครั้งที่สามารถบอกได้ว่าเป็นอาการที่มีคำอธิบายทางการแพทย์ แต่เมื่อตรวจทางการแพทย์แล้วไม่พบสิ่งผิดปกติทางร่างกายที่อธิบายอาการต่าง ๆ ได้"
แต่สาเหตุหลัก ๆ แล้ว มีปัจจัยทางด้านจิตวิทยาและสังคม
มีการบันทึกไว้ว่า อาการอุปาทานหมู่เกิดขึ้นทั่วโลก ย้อนประวัติศาสตร์ไปได้ถึงยุคกลาง เหตุการณ์ที่เกิดในมาเลเซียพบได้บ่อยครั้งในกลุ่มคนงานโรงงานยุค 1960 แต่ในปัจจุบันพบว่า อาการอุปาทานหมู่มักจะเกิดในโรงเรียนและหอพัก
บาร์โธโลเมว ใช้เวลาหลายทศวรรษในการทำวิจัยเกี่ยวกับอุปาทานหมู่ในมาเลเซีย เขาเรียกประเทศนี้ว่าเป็น "เมืองหลวงแห่งอุปาทานหมู่ของโลก"
"มาเลเซียเป็นประเทศที่เคร่งศาสนาและเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในชนบทที่มีวิถีดั้งเดิมยังมีความเชื่อในนิยายปรัมปราและเรื่องเหนือธรรมชาติ"
อย่างไรก็ตาม ประเด็นว่าด้วยการเกิดอุปาทานหมู่ในมาเลเซียเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากเกิดกับหญิงวัยรุ่นมุสลิมเชื้อชาติมาเลย์มากกว่าคนเชื้อชาติอื่นในประเทศ
"ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุปาทานหมู่เกิดขึ้นอย่างท่วมท้นในหมู่ผู้หญิง...ซึ่งพบได้อย่างสม่ำเสมอในเอกสารวิชาการ"
ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี หมู่บ้านชาวมาเลย์ที่ชื่อว่า ปาดัง เลมเบะก์ ตั้งอยู่ที่ชานเมืองโกตาบารู เมืองเอกของรัฐกลันตัน
หมู่บ้านนี้เป็นชุมชนขนาดเล็กที่ทุกคนรู้จักกันหมด สะท้อนภาพประเทศในอดีตได้เป็นอย่างดี มีร้านอาหารแบบบ้าน ๆ ร้านเสริมสวย มัสยิดและโรงเรียนดี ๆ ใกล้บ้าน
นี่เป็นหมู่บ้านที่ สิตี อาศัยอยู่ บ้านของเธอเป็นบ้านชั้นเดียวเรียบง่าย หลังคาสีแดง รั้วเขียว มีมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่สิติใช้ขี่ไปโรงเรียนกับรูสเดียห์ รุสลัน เพื่อนรัก จอดอยู่หน้าบ้าน
สิตี ก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากความเครียด เธอรู้สึกว่าเครียดหนักในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนในปี 2018 เมื่อเข้าสู่ช่วงของการสอบแข่งขัน
"ฉันเตรียมตัวมาเป็นสัปดาห์ พยายามจดจำบทคัดย่อต่าง ๆ แต่กลับมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น" เธอกล่าว "อ่านเท่าไร ท่องเท่าไร ก็ไม่เข้าหัว"
เหตุการณ์ที่โรงเรียนเมื่อเดือน ก.ค. ทำให้สิตีกินไม่ได้นอนไม่หลับ เธอต้องหยุดพักไปหนึ่งเดือนก่อนกลับมามีชีวิตที่ "เกือบเป็นปกติ"
ในทางการแพทย์บุคคลแรก หรือ "ผู้ป่วยต้นปัญหา" ที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการทางร่างกายในบุคคลอื่น คือ สิตี
"มันไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน" นักสังคมวิทยาการแพทย์ชาวอเมริกันกล่าว "มันเริ่มต้นจากเด็กคนหนึ่งจากนั้นก็แพร่ไปยังคนอื่นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ป่วยอยู่สภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดและมีความกดดันสูง
อุปาทานหมู่เกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดความวิตกกังวลในกลุ่มคนที่อยู่ด้วยกัน เช่น เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเป็นลม หรือชักเกร็ง ก็จะยิ่งกระตุ้นให้คนอื่นเกิดอาการแบบเดียวกัน
รูสเดียห์ ไม่มีวันลืมวันที่สิตีกรีดร้องอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอบอกว่า "ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นต้องทำอย่างไร พวกเรากลัวมากจนกระทั่งไม่กล้าสัมผัสตัวเธอ"
เด็กหญิงคู่นี้สนิทสนมกันมาก เกิดเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วทำให้พวกเธอผูกพันกันมากขึ้น "มันช่วยให้เราพูดคุยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และช่วยให้เราก้าวต่อไปได้"
ที่เกิดเหตุ
มองจากภายนอกโรงเรียนมัธยมเคอะเตเระห์ดูเหมือนเป็นโรงเรียนทั่ว ๆ ไปในมาเลเซีย มีต้นไม้ใหญ่ กำแพงโรงเรียนทาด้วยสีเทาและเหลืองสดใส
แม่ค้าเพิงอาหารยอดนิยมหน้าโรงเรียนบอกว่า ระหว่างที่เธอกำลังเตรียมอาหาร เธอได้ยินเสียงแผดร้อง เธอเล่าว่า เห็นเด็กผู้หญิงอย่างน้อย 9 คน ถูกหามออกจากห้องเรียน บางคนเตะ ถีบ บางคนกรีดร้องโหยหวน เธอจำได้ว่าเด็กบางคนเป็นลูกค้าประจำของเธอด้วย
เธอกบอกว่า "มันเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจยิ่ง"
เธอเห็นหมอผีและผู้ช่วยหลายคนเข้าไปในห้องละมาด พวกเขาอยู่ที่นั่นนานหลายชั่วโมง เธอบอกว่า รู้สึกสงสารเด็ก ๆ ที่ต้องเห็นภาพเหตุการณ์วันนั้น
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว โรงเรียนได้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันเหตุในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก โดยปรับเปลี่ยนแผนการรับมือความปลอดภัยและเปลี่ยนบุคลากร นอกจากนี้การสวดประจำวันและโปรแกรมบรรยายด้านจิตวิทยา ก็ถูกบรรจุในห้องเรียน
"ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก เรายังตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลนักเรียนหลังเกิดเหตุด้วย"
ไม่แน่ชัดว่าการให้ความรู้ความเข้าใจที่โรงเรียนดำเนินการอยู่จะถูกออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพด้านสุขภาพจิตหรือไม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกัน แนะนำว่า นักเรียนมาเลเซียทั่วประเทศควรได้รับการศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้
"พวกเขาควรได้เรียนรู้ว่า ทำไมอุปาทานหมู่จึงเกิดขึ้นและมันแพร่ไปที่คนอื่นอย่างไร" ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ระบุ "สิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวล"
ด้านกระทรวงศึกษามาเลเซีย ปฏิเสธให้ความเห็นต่อเรื่องนี้
โรงเรียนมัธยมเคอะเตเระห์ เป็นหนึ่งในโรงเรียนมัธยม 68 แห่งในรัฐกลันตัน ในปี 2016 ได้เกิดเหตุอุปาทานหมู่ในหลายโรงเรียน ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นบอกบีบีซีว่า ทางการไม่สามารถรับมือการอุปาทานหมู่ที่เกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้งตอนนั้นได้ แต่ได้สั่งให้ปิดโรงเรียน
"มันเป็นเหตุอุปาทานหมู่ที่แพร่ระบาดไปทั่ว เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ลามจากโรงเรียนไปยังอีกโรงเรียน"
หนึ่งในอุปาทานหมู่ที่ตกเป็นข่าวดังเกิดใกล้กับเมืองปังกาลัน เชปา สื่อท้องถิ่นรายงานว่า นักเรียนและครูตกอยู่ในภาวะ "ถูกสิง" หลังจากเห็น "รูปเงาดำทะมึน" เพ่นพ่านทั่วโรงเรียน มีคนตกอยู่ในอาการเช่นนี้ราว 100 คน
โรงเรียนที่หลอนที่สุดในมาเลเซีย
นักเรียนหญิงของโรงเรียนแห่งนี้เล่าว่า โรงเรียนของเธอเป็นโรงเรียนที่หลอนที่สุดในมาเลเซีย
"เหตุการณ์น่ากลัววันนั้นนานเป็นชั่วโมง แต่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ ในการกลับมาเป็นปกติ" นักเรียนหญิงวัย 18 ปีกล่าว
เธอพาไปดูทางเดินใกล้สนามบาสเก็ตบอลที่เกิดเหตุที่มีต้นไม้ปลูกอยู่บริเวณนั้น
"เพื่อนในห้องของฉันบอกว่าเขาเห็นหญิงชรายืนอยู่ระหว่างต้นไม้"
"ฉันไม่เห็น แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับพวกเขามันดูจริงมาก" เช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่นในโรงเรียนเธอไม่ได้มองเหตุการณ์นั้นว่าเป็นอุปาทานหมู่ หากแต่เป็นเรื่องลี้ลับ
เรื่องผีลี้ลับ รวมทั้งหมอผี เป็นสิ่งที่ฝังรากมาหลายศตวรรษในมาเลเซีย เด็ก ๆ โตขึ้นมากับเรื่องเล่าเกี่ยวกับทารกมรณะ ปิศาจนางไม้ที่ดูดเลือดมนุษย์ ต้นไม้และหลุมฝังศพมักเป็นฉากของเรื่องขนหัวลุก สถานที่พวกนี้ยิ่งเป็นตัวเสริมให้เกิดความเชื่อเรื่องที่เหนือธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในโรงเรียนมุสลิมเท่านั้น
ดร. อัซลี ราห์มัน นักมานุษยวิทยาชาวมาเลเซียในสหรัฐฯ เล่าเหตุการณ์อุปาทานหมู่ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในโรงเรียนชั้นนำที่เมืองกวนตัน (Kuantan) เมื่อปี 1976 เขาอธิบายเหตุตอนนั้นว่า "ทุกอย่างน่าสะพรึงมาก"
ระหว่างที่โรงเรียนกำลังมีการประกวดร้องเพลง นักเรียนหญิงคนหนึ่งอ้างว่าเธอเห็น "พระสงฆ์ยิ้ม" อยู่บนยอดของหอพักนักเรียน และเริ่มกรีดร้องออกมา หลังจากนั้นหมอผีถูกส่งมาทำพิธีไล่ผีให้นักเรียนหญิง 30 คน ที่มีอาการดังกล่าว
"บทบาทของหมอผีคือการสวดภาวนาระหว่างความเป็นความตาย แต่สิ่งสำคัญในเรื่องนี้คือสังคมต้องพิจารณาคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักตรรกะและเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่แพร่ต่อ ๆ กัน" ดร. อัซลี กล่าว
เปิดบ้านหมอผี
เหตุการณ์ที่เกิดกับสิตี เธอและครอบครัวได้รับคำอธิบายทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็หันหน้าไปหาที่พึ่งทางจิตวิญญาณเช่นกัน
ซากี ยา ผู้เยียวยาทางจิตวิญญาณที่มีประสบการณกว่า 20 ปี ประยุกต์คัมภีร์กุรอ่านของศาสนาอิสลามมาใช้ เขายังเชื่อในวิญญาณที่ชื่อว่า "จินน์" (Jinn) อันเป็นความเชื่อในแถบภูมิภาคตะวันออกกลางและจักรวาลวิทยาของอิสลาม
"เราแบ่งโลกของเรากับสิ่งที่มองไม่เห็น" ซากีกล่าว "พวกเขามีทั้งดีและเลว แต่ก็เอาชนะได้ด้วยศรัทธา"
ภายในห้องของซากี คัมภีร์อิสลามถูกติดไว้ที่ฝาผนัง ใกล้ทางเข้ามีขวดน้ำมนต์ที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ที่มุมห้องมีของวัตถุลี้ลับวางรวมกันอยู่บนโต๊ะ ได้แก่ มีดที่ขึ้นสนิม หวี วัตถุทรงกลม และม้าน้ำตากแห้ง ซากีบอกว่าของพวกนี้เป็น สิ่งของสำหรับปัดเป่าความช่วยร้าย
ซากี อ้างถึงกรณีที่เกิดขึ้นกับสิตีว่า เขาช่วยให้สิตีอาการดีขึ้น เขายังนำวิดีโอของเด็กหญิงอีกรายที่เขารักษามาให้ดู เป็นภาพหญิงรายนั้นดิ้นอย่างทุรนทุรายบนพื้นและมีผู้ชายสองคนพยายามเข้าควบคุมตัว
"ผู้หญิงจิตอ่อนและร่างกายอ่อนแอกว่า" เขากล่าว "นั่นทำให้ง่ายต่อการที่วิญญาณจะเข้ามาสู่ร่าง"
เขาอ้างว่า ภาวะทางจิตมีบทบาทในหลาย ๆ กรณีที่เป็นแบบนี้ แต่ให้น้ำหนักไปที่พลังงานของวิญญาณมากกว่า
"วิทยาศาสตร์มีความสำคัญ แต่ก็อธิบายเหตุเหนือธรรมชาติได้ไม่หมด... คนที่ไม่เชื่อจะไม่เข้าใจการเข้าจู่โจมแบบนี้จนกว่าจะเจอด้วยตัวเอง"
ชุดอุปกรณ์แก้อาการอุปาทานหมู่
นักวิชาการมุสลิมในรัฐปะหัง คิดค้นวิธีการกำจัดอาการอุปาทานหมู่ด้วยชุดอุปกรณ์ที่ขายในราคา 8,750 ริงกิต (65,000 บาท)
ชุดอุปกรณ์ประกอบไปด้วย กรดฟอร์มิก ยาดมแอมโมเนีย สเปรย์พริกไทย และคีมไม้ไผ่ ซึ่งใช้ดูดความเจ็บปวดออกจากร่างของคนที่ถูกวิญญาณเข้าสิงและขับไล่ภูตผีและวิญญาณออกจากร่าง
ทันทีที่อุปกรณ์พวกนี้วางขายเมื่อปี 2016 รัฐมนตรีคนหนึ่งของรัฐบาลมาเลเซียวิจารณ์ว่านี่เป็น "สัญลักษณ์ของสังคมที่ถอยหลัง"
อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์คลินิกของมหาวิทยาลัยปุตราของมาเลเซีย ไม่ปฏิเสธความเชื่อแบบนี้และบอกว่า วัฒนธรรมมาเลเซียมีวิธีการอยู่กับเรื่องแบบนี้ที่ต่างออกไป
"วิธีการรับมือที่ใช้ได้ผลคือการบูรณาการความเชื่อทางจิตวิญญาณและการดูแลรักษาสุขภาพจิตที่เพียงพอเข้าด้วยกัน"
มาเลเซีย : เมืองหลวงอุปาทานหมู่ของโลก ?
หากมาเลเซียเป็น "เมืองหลวงอุปาทานหมู่ของโลก" รัฐกลันตันที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น
"ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่รัฐกลันตัน ซึ่งเป็นรัฐอนุรักษ์นิยมที่เคร่งครัดศาสนา มีแนวโน้มเกิดเหตุอุปาทานหมู่มากที่สุด"
รัฐกลันตันเป็น 1 ใน 2 รัฐ ที่ปกครองโดยพรรคปาส (Parti Islam SeMalaysia - PAS) ซึ่งเป็นพรรคอิสลามที่มีฐานเสียงส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของมาเลเซีย
ทัศนียภาพของรัฐกลันตัน เมืองหลักของโกตาบารู
ที่นั่นมีวิถีชีวิตที่อิงกับศาสนาต่างไปจากรัฐอื่นในมาเลเซีย คือ เริ่มวันทำงานในวันอาทิตย์จบที่วันพฤหัส ส่วนวันศุกร์เป็นวันที่ชาวมุสลิมเดินทางไปละหมาดที่มัสยิด
แล้วศาสนาและความเชื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องอุปาทานหมู่หรือไม่ อาฟิค นูร์ นักวิชาการอิสระชาวมาเลเซีย ชี้ว่า การบังคับใช้กฎหมายศาสนาอิสลามที่เข้มงวดในโรงเรียนรัฐบาลอย่างเช่นในรัฐกลันตัน "เชื่อมโยง" กับการเพิ่มขึ้นของเหตุอุปาทานหมู่
"เด็กผู้หญิงมาเลเซียมุสลิมเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีกฎระเบียบทางศาสนาที่เข้มงวด" เขากล่าว "โรงเรียนจะคอยตรวจตราเสื้อผ้าอย่างเคร่งครัด และห้ามฟังเพลงที่ไม่ใช่เพลงมุสลิม"
สถานการณ์แบบนี้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่า สภาพแวดล้อมที่บีบคั้นอาจสร้างความวิตกกังวลได้มากขึ้น
การระบาดของเหตุอุปาทานหมู่ยังมีรายงานว่า เคยเกิดขึ้นในโรงเรียนหญิงล้วนคาทอลิกและสถานที่ทางศาสนาทั่วเม็กซิโก อิตาลี ฝรั่งเศส โรงเรียนในจังหวัดโคโซโว หรือกระทั่งในชมรมผู้นำเชียร์ที่เขตชนบทของรัฐแคโรไลนาในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม แต่ละกรณีก็แตกต่างกันไปตามแต่บริบททางวัฒนธรรม แต่ลงเอยด้วยสถานการณ์อย่างเดียวกัน นักวิจัยลงความเห็นแล้วว่า การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เข้มงวด วัฒนธรรมแบบอนุรักษ์นิยม ส่งผลให้เกิดภาวะอุปาทานหมู่อย่างชัดเจน
ในมุมมองของสตีเฟน ไดมอนด์ นักจิตวิทยาคลินิก เห็นว่า บ่อยครั้งที่อาการที่แสดงถึงความเจ็บปวด ตกใจ และอับอาย เกี่ยวข้องกับภาวะอุปาทานหมู่ และอาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะการเรียกร้องความสนใจ
"อาจมีกลุ่มอาการที่ชัดเจนบางอย่างที่บ่งชี้ได้ถึงสภาวะภายในจิตของมนุษย์ แต่จิตไม่อนุญาตให้ยอมรับในระดับใต้สำนึก หรือไม่อนุญาตให้แสดงความรู้สึกหรือเป็นคำพูดออกมาได้"