ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผี แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568

ประวัติความเป็นมาของ ฉมบ ผีไทยรุ่นเก่าที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก

ฉมบ [ฉะ-มบ], ฉะมบ, ชมบ หรือ ทมบ เป็นผีไทยชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มผีร้ายหรือผีเลวให้โทษ

และนับว่าเป็นผีรุ่นเก่าที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก บางแห่งก็ว่าคือผีปอบตามคติชนเขมร เพราะชื่อมาจากคำเขมรว่า "ชะมอบ" (เขมร: ឆ្មប, ฉฺมบ) แปลว่า หมอตำแย ผีชนิดนี้ปรากฏอยู่ใน พระไอยการเบดเสรจ มาตราที่ 157 ตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1767[2] และปรากฏใน พระอัยการลักษณรับฟ้อง ประมวลกฎหมายตราสามดวง ซึ่งตราขึ้นช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ด้วยความที่ฉมบเป็นผียุคเก่าไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะไม่ชัดเจน เพราะเอกสารแต่ละแห่งให้ข้อมูลไม่ตรงกัน

ฉมบ

ภาพจาก ภูตผีปีศาจไทย มีลักษณะใกล้เคียงกับฉมบ ตามคำอธิบายของราชบัณฑิตสภา

กลุ่มผีไทย

กลุ่มย่อยผีร้าย

สัตว์คล้ายคลึง

กระสือ, ปอบ, ผีโพง, ผีกะ

ประเทศประเทศไทย

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลองเข้ามาดูสินค้า Gooddaylady Perfume 🦋 น้ำหอมฟีโรโมน ขนาด 30ml. Sexyhight ขายในราคา ฿340 ซื้อได้ในแอป Shopee ตอนนี้เลย!

https://s.shopee.co.th/1VlVbPOMY3

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ระบุลักษณะของฉมบไว้ว่า "ผีผู้หญิงที่ตายในป่าและสิงอยู่ในบริเวณที่ตาย มีรูปเห็นเป็น เงา ๆ แต่ไม่ทำอันตรายใคร, ชมบ หรือ ทมบ ก็ว่า"

ส่วน อักขราภิธานศรับท์ (2461) ระบุลักษณะของฉมบไว้ว่า "คนมีผีกะสือ, ผีตะกละ, เข้าสิงอยู่ในตัว, มันย่อมอยากกินสิ่งของที่โศกโครกเปนต้น"

เข้ามาดูวิดีโอของฉันใน Shopee Video คลิกเลย >>> https://th.shp.ee/tt0nsg8?smtt=0.0.9

ส่วน สารานุกรมภาษาอีสานฯ ของปรีชา พิณทอง (2532) ระบุว่า "ผีปอบ เป็นผีจำพวกหนึ่งสิงอยู่ในตัวคน มีหลายชนิด คนที่ชอบกินของดิบ เช่น กบดิบ เขียดดิบ กลางคืนมักจะออกหากิน มีแสงออกตามจมูกสีเขียว พวกหนึ่งเรียกมนต์แล้วปฏิบัติตามครูสอนไม่ได้ มนต์เกิดเป็นผี กินคนอื่นไม่ได้ก็กินตัวเอง เรียก ปอบมนต์ อีกพวกหนึ่งไม่ได้เรียนอะไร แต่พี่น้องเป็นปอบ เมื่อพี่น้องตายไปแล้วปอบเข้ามาสิงอยู่ในตัว ปอบชนิดนี้เรียกปอบเชื้อ ปอบทุกชนิดหมอมนต์เขารักษาหายได้"

และเอกสารยุครัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็จัดให้ฉมบพร้อมผีอีก 10 ชนิด เข้าข่ายของความหมายว่าปีศาจ

ฉมบ ปรากฏอยู่ในกฎหมายเก่าของไทย คือ พระไอยการเบดเสรจ มาตราที่ 157 ระบุว่า ฉมบ คือผีร้าย เนื้อหา ระบุไว้ความว่า "...เจ้าเมืองและผู้รั้งเมื่อไต่สวนว่าบุคคลที่เป็นฉมบ จะกละ กระสือ กระหาง แม้ว่าจะรับเป็นสัจแล้ว อย่าให้เจ้าเมืองผู้รั้งเอาไปฆ่า ให้ส่งตัวลงมาที่กรุงไว้แต่นอกขนอน..."

 ส่วนเอกสารยุคหลังอย่าง พระอัยการลักษณรับฟ้อง ประมวลกฎหมายตราสามดวง ได้กำหนดลักษณะต้องห้ามเป็นเหตุได้ยกฟ้องได้ 20 ประการ ซึ่งข้อที่ 20 ได้ระบุเนื้อหาเกี่ยวกับฉมบไว้ว่า "...ถ้าแลอนาประชาราษฎรมีถ้อยคำร้องฟ้องศาลา แลฟ้องร้องเรียนกฎหมายโรงสารกรมใด ๆ …. อนึ่งเปนสัจว่าเปนฉมบจะกละกะสือ แลมาฟ้องร้องเรียนแก่มุขลูกขุนก็ดี 

… แลราษฎรผู้ต้องคะดีมีถ้อยคำตัดฟ้อง ๒๐ ประการนี้ท่านให้มุขลูกขุนพิภากษาตามบทพระไอยการพระราชกฤษฏีกา ถ้าต้องด้วยพระไอยการห้าม ๒๐ ประการนี้แล้วให้ยกฟ้องเสีย"

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

เรื่องเล่าสยองๆของผีกางร่ม ตาถลน ตาเหลือก ตาปลิ้น


เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยผมยังเด็ก แต่ยังจำได้ไม่ลืมครับ ขอระลึกถึงความหลังสักหน่อยโดยการขอใช้พื้นที่นี้ครับ

บ้านผมที่ต่างจังหวัดจะอยู่กันเป็นหมู่บ้าน โดยมีถนนคอนกรีตตัดผ่านรอบๆหมู่บ้าน แบบมาบรรจบกัน ใครนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงป่าคำชะโนดครับ อย่างนั้นเลยต่างกันตรงที่ป่าคำชะโนดจะเป็นลักษณะเกาะกลางน้ำ แต่หมู่บ้านผม เป็นเกาะแบบมีหมู่บ้านอยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยถนนคอนกรีต แต่ฝั่งตรงข้ามก็เป็นบ้านคนเช่นกัน 

ตรงข้ามบ้านผมเป็นที่ทำการไปรษณีย์หมู่บ้าน แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว เป็นบ้านเปล่าๆให้คนมาเช่าอยู่ ได้ข่าวว่าแกไปสร้างบ้านอยู่ในตัวเมืองพิดโลกครับ  สมัยนั้นบ้านเราเด็กทุกคนจะเรียกเเกว่าน้าศาสตร์ นัยย์ว่านับถือเป็นน้องแม่ครับ ส่วนแฟนน้าศาสตร์แกชื่อน้าเงาะ สวย เซ็กซี่ ใหม่ เจริญปุระ ยังไงยังงั้นครับ น้าศาสตร์ก็พงษ์พัฒน์ครับ 

วันเงินเดือนออกที่ทำการไปรษณีย์ของน้าศาสตร์ชอบตั้งวงกินเหล้ากันครับ ก็อย่างว่าแกทำไปรษณีย์ เพื่อนแกก็เยอะ เก๋า วัยรุ่นทั้งนั้น มีการร้องเพลง ตีกลอง เคาะขวด เคาะแก้ว จนดึกดื่นกว่าจะเลิก ชาวบ้านแถวนั้นชินแล้ว รวมทั้งบ้านผมด้วยครับ

แล้ววันที่ผมจำได้ไม่ลืมคือ วันนั้นสิ้นเดือนบ้านผมรับงานแห่นาค พ่อผมพาวงกลับมาก็เมาละ (บ้านผมสมัยก่อนมีวงดนตรีแห่นาคนะครับ ตอนนี้พ่อเสียไม่มีใครทำต่อ น่าเสียดายครับ) ด้วยความที่พ่อผมเมา พี่สาวผมก็กลัวพ่อจะหาเรื่องตีแม่ หรือ บางทีแกก็เอาปืนมายิงขึ้นฟ้าครับ เช้ามาต้องไปเคลียร์ที่บ้านกำนัน ไม่ใช่อะไรครับมีคนไปแจ้ง ประจำ แต่พ่อก็ไม่เข็ดครับ

ด้วยความที่กลัวแม่จะโดนพ่อตี คืนนั้นพี่สาวผมจึงพาแม่ ผม และน้องสาวผมไปนอนบ้านตายายครับ ไม่ไกลเท่าไร ถัดกันไปไม่กี่หลังครับ ปล่อยพ่ออยู่บ้านคนเดียว คิดว่าพ่ออยู่คนเดียวไม่น่าจะเป็นไร เพราะแกเมาเดี๋ยวคงเข้านอน 
(อ๋อ พ่อผมเคยเอาปืนไปยิงขึ้นฟ้าหน้าบ้าน ตา ยาย ผมมาแล้ว เจ๋งป่ะละครับพ่อผม



ประมาณตี 1 กว่าๆ พี่สาวผมได้ยินเสียงเอะอะ เสียงโครมคราม มาจากทางบ้านผม แกก็นอนไม่หลับกลัวพ่อจะเอาปืนมายิงขึ้นฟ้าอีก แกตัดสินใจแอบย่องมาดูพ่อ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยห้าม แกมาคนเดียว มืดๆ ไม่ได้เอาใครมาเป็นเพื่อนด้วย ส่วนผมก็นอนหลับไม่รู้เรื่องครับ 

ปรากฏว่าบ้านผม พ่อปิดไฟนอน มืดหมดแล้ว เสียงที่ดังมาจากวงเหล้าบ้านน้าศาสตร์ครับ พี่สาวผมเลยเดินกลับแบบโล่งอกไปที พอรู้ที่มาของเสียงว่าไม่ใช่จากพ่อ

มารู้ตอนเช้าที่ร้านป้าตลับร้านขายกับข้าว ผักสด ว่าที่เสียงดังบ้านน้าศาสตร์เมื่อคืน คือมีคนเจอผีครับ

 น้าแขกเพื่อนน้าศาสตร์แกเห็นผู้หญิงเดินกางร่มสีดำผ่านวงเหล้าแกไปตามถนน แกก็นึกเอะใจ ดึกแล้วใครที่ไหนมาเดินกางร่ม ฝนก็ไม่ตก แกจึงเดินตามผู้หญิงคนนั้นไปครับ แล้วตามประสาคนเมา ไม่กลัวใครครับ แกก็เอื้อมมือไปแตะบ่าผู้หญิงคนนั้น แล้วถามว่ามาเดินกางร่มอะไรตอนนี้ ฝนก็ไม่ตกนะ


ทันใดนั้น! ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา พระเจ้า! ใบหน้าที่ปรากฏต่อสายตาน้าแขกคือ ใบหน้าเปล่าๆครับ! ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีปาก ไม่มีจมูก เอาง่ายๆคือโล่งทั้งหน้าครับ น้าแขกตกใจมากร้องเว้อ!!! สุดเสียง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หมุนตัวเอง360องศา  แบบถือร่มแล้วหมุนครับ ประมาณ 3 รอบก็หายไปครับ  หน้าแขกตาเหลือก วิ่งกลับมาที่วงเหล้าโวยวายว่าโดนผีหลอก ต้นเหตุแห่งเสียงเอะอะครับ ไม่ใช่มาจากบ้านผม!


ผีกางร่มจึงเป็นเรื่องเล่าที่ดังมากสมัยนั้น แบบที่ผมจำได้ไม่ลืมครับ 

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2566

โอคิคุ ตุ๊กตาผีสิงแห่งฮอกไกโดที่ผมยาวเองได้ราวกับมีชีวิต


โอคิคุ ตุ๊กตาผีสิงแห่งฮอกไกโดที่ผมยาวเองได้ราวกับมีชีวิต

นี้เป็นผีตุ๊กตาแตัวที่น่ากลัวขนลุกขนผองสยองขวัญ แปลกผมตกตายาวได้อย่างไรวิญญานผีเข้ามาสิงหรือเปล่า ปริศนาดำมืด ชวนค้นหา

คุณอาจเคยได้ยินเรื่องราวของตุ๊กตาผีสิงของฝรั่งมาก็มาก แต่คุณอาจไม่เคยได้ยินเรื่องราวความสยองขวัญของหนึ่งในตุ๊กตาที่น่ากลัวที่สุดของญี่ปุ่น และวันนี้เพชรมายาจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ “โอคิคุ” ตุ๊กตาที่ได้รับฉายาว่า “ตุ๊กตาผีสิงแห่งฮอกไกโด”


โอคิคุเป็นตุ๊กตาญี่ปุ่นเก่าแก่ที่อยู่ในวัดแห่งหนึ่งในเมืองอิวามิซาวะ มีเสียงร่ำลือกันว่าตุ๊กตาตัวนี้มีเส้นผมของจริงของมนุษย์ และยังมีวิญญาณของเด็กหญิงตัวน้อยสิงสถิตอยู่อีกด้วย
มีตำนานมากมายเกี่ยวกับโอคิคุ แต่ตำนานที่โด่งดังที่สุดคือโอคิคุถูกซื้อมาโดย เออิคิจิ ซูซูกิ เด็กชายอายุ 17 ปีจากฮอกไกโด เพื่อนำไปให้น้องสาวของเขาในปี 1918
น้องสาวของเขาอายุ 3 ปี มีชื่อว่า คิคุโกะ เธอรักตุ๊กตาตัวนี้มาก พามันไปด้วยทุกที่แม้แต่ตอนนอน เรื่องราวดูเหมือนจะไม่มีอะไรคนกระทั่ง เด็กสาวตัวน้อยได้ป่วยเป็นไข้และเสียชีวิตลง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์อันน่าขนลุก


ครอบครัวของเด็กหญิงเก็บตุ๊กตาตัวนี้เอาไว้ในศาลเจ้าเล็ก ๆ เพื่อรำลึกถึงเธอ และตั้งชื่อมันว่า “โอคิคุ” พวกเขามักจะมาสวดมนต์อธิษฐานถึงเด็กสาวกับตุ๊กตาตัวนี้อยู่เสมอ
จนกระทั่งวันหนึ่งพวกเขาสังเกตว่าตุ๊กตามีบางสิ่งที่ผิดปกติไป นั่นคือทรงผมของมันกลายเป็นทรง “โอกัปปะ” หรือทรงผมบ็อบที่ตัดหน้าม้าตรง และสังเกตได้ว่าผมของมันยาวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นทำให้ครอบครัวของเด็กสาวเชื่อว่า ตุ๊กตาตัวนี้กำลังมีชีวิต และวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือลูกสาวของพวกเขาเอง

ในปี 1938 ครอบครัวของคิคุโกะตัดสินใจย้ายออกไปจากฮอกไกโด และตัดสินใจที่จะไม่นำตุ๊กตาไปด้วย พวกเขาเห็นพ้องกันว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าให้ตุ๊กตาอยู่บนเกาะแห่งนี้ และการมอบตุ๊กตาตัวนี้ให้กับวัดมันเนนจิ ดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตุ๊กตาโอคิคุก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัดเล็ก ๆ แห่งนี้ เมื่อเสียงร่ำลือของตุ๊กตาผีสิงตัวนี้เริ่มแพร่กระจายออกไป ก็มีผู้คนมากมายต้องการเดินทางมาเห็นตุ๊กตาตัวนี้ด้วยตาตัวเอง

ที่สำคัญคือทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพ นั่นจึงทำให้เรามีรูปภาพของโอคิคุไม่มากนัก

ทุกวันนี้ มีเสียงร่ำลือกันว่า โอคิคุมีผมยาวสลวยถึงเข่า เมื่อผมของมันยาวจนเกินไป พระในวัดก็จะตัดมันบ้างเป็นครั้งคราว จริง ๆ แล้วมันค่อนข้างน่าขนลุกเมื่อคุณไปตัดผมของตุ๊กตา แต่พระรูปหนึ่งเริ่มตัดผมของตุ๊กตาหลังจากที่โอคิคุมาเข้าฝันเพื่อขอให้เขาทำ แต่ก็ไม่มีใครอธิบายว่าทำไมผมของตุ๊กตาถึงยาวขึ้นเองได้
บางแหล่งข้อมูลอ้างว่า มีผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า ผมของโอคิคุคือผมของเด็กจริง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ามันยาวขึ้นได้เอง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีคำกล่าวอ้างที่บอกว่าหากคุณเข้าไปใกล้มากพอและมองเข้าไปในปากที่เผยอขึ้นเพียงครึ่งเดียว ก็จะเห็นฟันที่กำลังเติบโตของมันอีกด้วย

เรื่องราวของโอคิคุกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนวนิยาย ภาพยนตร์ และการแสดงคาบุกิ โดยมีการแต่งเติมรายละเอียดเข้าไปให้ตุ๊กตาดูน่าขนลุกมากขึ้น เช่น ตุ๊กตาสามารถหัวเราะ ร้องไห้ หรือเคลื่อนไหวได้เอง

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ผีอำ Sleep Paralysis


ใครเคยโดน "ผีอำ" บ้าง
ไม่ว่าเคย หรือไม่เคย วันนี้เรามารู้จักผีอำกัน ว่าเป็นผีจริง หรือ เป็นอะไรกันแน่ พร้อมแถมวิธีแก้เมื่อถูกผีอำให้ด้วย รู้ไว้ใช่ว่านะคะ เผื่อวันนึงถูกผีอำจะได้เอาตัวรอดได้นะทุกคน

ใครเคยโดนผีอำบ้าง ล้อมวงเข้ามา 
ตามหลักวิทยาศาสตร์ เค้าบอกไว้ว่า…มันคือ อาการ Sleep Paralysis หรือแปลตรงตัวคือเป็นอัมพาตตอนหลับ ด้วยเหตุผลจากสภาพชีวเคมีในร่างกาย ที่สมองจะหลั่งสารบางอย่างเพื่อให้ร่างกายขยับไม่ได้ ป้องกันการเดินละเมอไปไหนมาไหนนั่นเอง 

บางกรณีที่สมองเราเล่นตลก จึงเกิดเคสที่มีคนสะดุ้งตื่นกลางดึกแต่สารที่ว่านั้นยังไหลวนเวียนอยู่ในร่างกาย ทำให้รู้สึกตื่นเต็มที่ แต่ขยับตัวไม่ได้ สมองเลยต้องหาคำตอบมาอธิบายตามสิ่งที่เราเคยประสบมา และได้ข้อสรุปว่า ผีใช่มั้ย…. ต้องเป็นผีอำแน่ ๆ !! จากนั้น อาการประสาทหลอน เสียงแปลก ๆ ร่างดำมืดประหลาดน่ากลัวก็ปรากฎตรงหน้าราวกับดูหนัง 3 มิติในทันใด 

แต่ถ้า ตามหลักไสยศาสตร์  ที่เคยได้ยินมา เค้าบอกกันไว้ว่า…อาการผีอำนั้น เกิดจากการที่เราไปนอนทับที่ทางของใครเขา หรือไปนอนแปลกที่แล้วถูกผีเจ้าบ้านเจ้าเรือนมาแกล้ง มาหยอก มาหลอก มาเล่นด้วย พอสนุก ๆ นั่นเอง 

ไม่ว่าจะเคยเจอหรือไม่เคยเจอ มาเรียนรู้ 6 วิธีแก้ผีอำที่ได้ผลดีกันดีกว่านะคะ

วิธีที่ 1 : กะพริบตาบ่อย ๆ เพราะเปลือกตา เป็นส่วนเดียวที่ยังขยับได้ไงล่ะ ! ดังนั้น การขยับอวัยวะส่วนเล็ก ๆ ก็จะกระตุ้นให้สมองที่หลั่งสารอัมพาตรู้ตัวว่าเราตื่นแล้วนะ ปล่อยฉันออกไป!!!!

วิธีที่ 2 : กลั้นหายใจ ถ้าลืมตาก็ลืมไม่ขึ้น ก็ต้องใช้ลมหายใจนี่แหละ ปลุกสมองของเราให้ตื่น ด้วยกลไกป้องกันตัวอันแสนฉลาดของร่างกายเรา ถ้าเมื่อไหร่ที่การหายใจติดขัดล่ะก็ สมองทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันปลุกทุกโสตประสาทให้ตื่น เพื่อให้เรากลับมาหายใจได้อย่างปกตินั่นเองค่ะ

วิธีที่ 3 : ท่องเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคยที่สุด ถ้าแน่นหน้าอกด้วย ลืมตาไม่ขึ้น แล้วจินตนาการเริ่มมา ให้ลองท่องเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองในใจ ว่าจำได้ไหม ถ้าตกอยู่ในความฝันมักจะติด ๆ ขัด ๆ จำเลขไม่ค่อยได้ แต่ถ้าจำได้แล้วอาจหมายถึงเรามีสติครบ ให้ขยับเป็นบวกเลขเหล่านั้น เพื่อปลุกสมองเราให้ตื่นครบสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

วิธีที่ 4 : ท่องบทสวดตามความเชื่อของแต่ละศาสนาเลยจ้ะ ลองสายวิทยาศาสตร์แล้วไม่เวิร์ก ก็ต้องเอาไสยศาสตร์เข้าช่วยแล้วแหละแม่ ! ศาสนาไหนก็งัดมาเลย พระคุ้มครองเราได้ทุกที่ค่า

วิธีที่ 5 : เจรจากับผี พูดดี ๆ กับผี โกรธก็แล้ว แช่งก็แล้ว ยังไม่ยอมไป ลองคุยกับเค้าดี ๆ มั้ยคะ มาทำไม อยากได้อะไร จะเอาอะไรก็ว่ามาจ้า เดี๋ยวทำบุญไปให้ ตอนนี้ขอนอนก่อนน้าาาา

วิธีที่ 6 : ลืมตาจ้องผีให้ชัด ๆ ถ้าลืมตาได้แล้วไม่กลัว ก็ลืมตาซะ จะได้เห็น ๆ ไปเลยว่ารูปร่างเป็นยังไง (สายวิทย์เขาบอกว่ามันคือประสาทหลอน เราสร้างจินตนาการขึ้นมาเองนะ) ลองคิดว่าอยากลืมตามาแล้วเห็นเป็นเอเลี่ยน อยากเห็นเป็นคิงคอง ก็อาจจะได้เห็นทั้งเอเลี่ยนทั้งคิงคองขึ้นมาจริง ๆ ด้วย

ทีนี้ เมื่อหลุดจากอาการผีอำเรียบร้อยแล้ว ให้ลุกขึ้นมาบิดตัว ยกแขน ขา หมุนคอซะหน่อย เพราะถ้าเกิดจากการนอนทับเส้นก็จะช่วยให้หายขาดได้ ไม่งั้นอาจมีต่อภาคสองนะครับ

กระสือมาเลย์หรือ เปนังกาลัน


วันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับตำนาน “กระสือมาเลย์” หรือ “เปนังกาลัน” ชื่อเรียกของผีกระสือตามแบบฉบับคนมาเลเซีย และเป็นตำนานเรื่องเล่าหลอนๆที่เล่าต่อ กันในพื้นที่คาบสมุทรมาเลย์

แม้ชื่อจะต่าง แต่มีความเหมือนที่เป็นจุดเดียวกันคือทั้งเปนังกาลัน ฮันตู เปนังกัล และกระสือ เป็นผีผู้หญิงที่สามารถถอดศีรษะและอวัยวะภายในที่ติดส่วนหัว อย่างหลอดลม หัวใจ ปอดไปจนถึงลำไส้ และมีแสงระยิบระยับเปล่งออกมาจากเครื่องในคล้ายหิ่งห้อย 

เคลื่อนไหวด้วยการลอย และออกหากินยามวิกาล เปนังกาลันชอบกินเลือดเป็นอาหาร โดยเฉพาะเลือดจากแม่ที่กำลังคลอดลูก รวมถึงทารกแรกเกิด เปนังกาลันจะใช้ลิ้นยาวที่มองไม่เห็นซอกซอนไปตามช่องโหว่ รู และรอยรั่วของบ้านเพื่อเลียเลือดจากเหยื่อ แม้จะดูไม่น่ากลัวเพราะเป็นการกินเลือดเสีย ไม่ใช่กัดดูดแบบแวมไพร์ 
แต่เพราะเปนังกาลันปล่อยเชื้อร้ายสู่เหยื่อ หากไม่ได้รับการรักษาจากผู้มีวิชาอาคมอาจจะทำให้เหยื่อเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

ส่วนที่มาของการกลายร่างเป็นเปนังกาลันนั้น บ้างก็ว่าเกิดจากการใช้มนต์ดำหรืออำนาจมืดแปลงโฉมให้ตนเองมีหน้าตาสะสวยมีเสน่ห์ เมื่อทำบ่อยๆ คุณไสยจึงเข้าตัว อีกตำนานเชื่อว่าหญิงสาวถูกสาปแช่งด้วยมนต์ดำจนกลายเป็นเปนังกาลันในที่สุด

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564

คลิปสุดหลอนที่พบโดยบังเอิญในห้องใต้หลังคา ภาพที่พบคือชายที่ถูกวิญญาณบงการให้ทำร้ายตนเอง

จริงหรือเก๊! คลิปสุดหลอนที่พบโดยบังเอิญในห้องใต้หลังคา ภาพที่พบคือชายที่ถูกวิญญาณบงการให้ทำร้ายตนเอง
ค้นหา
ในปี 2011 ผู้ใช้งานยูทูปที่ใช้ชื่อว่า ToppingsofTerror ได้ทำการอัพโหลดคลิปคลิปหนึ่งขึ้นในช่องของตนเองโดยทำการตั้งชื่อว่า “8mm footage of real life possession. (extended version)” และคำบรรยายด้านล่างนั้นก็เล่าว่า
ภาพที่เห็นในวิดีโอนี้เป็นภาพจากฟิล์ม 8 มม. ที่ถูกพบบนห้องใต้หลังคาในบ้านหลังหนึ่งที่รัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกาโดยเจ้าของบ้านที่เพิ่งซื้อบ้านมือสองต่อจากเจ้าของเดิม ซึ่งบนกล่องฟิล์มนั้นมีการเขียนวันที่ทำการถ่ายทำ โดยระบุไว้ว่าถ่ายทำขึ้นในปี 1973
ผู้เป็นสามีคือสมาชิกเพียงคนเดียวในบ้านที่ได้ดูสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในฟิล์ม ก็พบว่ามันเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตที่เขาเคยดูมา หลังจากนั้นผู้เป็นสามีก็ส่งต่อฟิล์มนี้ไปให้กับคนรู้จักเพื่อช่วยกันดูว่าสิ่งที่เห็นในคลิปนั้นคือเรื่องจริงหรือหลอก จนกระทั่งฟิล์มได้ส่งต่อถึงมือของผู้อัพโหลดคลิปในปี 2010 และทำการอัพโหลดขึ้นบนยูทูบในปีต่อมา

คลิปที่ถูกอัพโหลดขึ้นเป็นภาพขาวดำมีความยาว 2.34 นาที โดยเนื้อหานั้นจะเป็นภาพของชายคนหนึ่งในสภาพอิดโรยเหมือนกับไม่ได้นอนมาเป็นเวลานานที่กำลังนอนอยู่ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงประตูดังขึ้น กล้องจับภาพของประตูที่เคลื่อนไหวเหมือนกับว่ามีคนกำลังเปิดมันเข้าและออก หลังจากนั้นชายที่กำลังนอนอยู่จู่ๆ
ก็ยืนขึ้น

และภาพต่อจากนี้ก็คือการทำร้ายตัวเองของชายผู้นี้ด้วยการดึงเล็บมือตัวเองออกทีละนิ้ว สลับกับการนอนบิดครวญครางด้วยความเจ็บปวด ซึ่งเสียงที่ชายในคลิปเปล่งออกมานั้นมันไม่เหมือนกับเสียงมนุษย์ หลังจากนั้นภาพก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชายคนนี้หยิบมีดขึ้นมาตัดริมฝีปากตัวเองออก เผยให้เห็นฟันทั้งหมดและจบคลิปด้วยการที่ชายผู้นี้นำมีดมากรีดที่คอตัวเอง

ทันทีที่คลิปวิดีโอนี้กระจายออกไป ก็สร้างความหวาดผวาให้กับผู้ที่ได้ดูเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่แน่ใจว่ามันคือของจริงหรือเป็นการถ่ายออกมาเพื่อแหกตา ซึ่งแน่นอนต้องมีการจับผิดสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในคลิปโดยมีคนตาดีสังเกตวัตถุที่ดูคล้ายกับ “เคสคอมพิวเตอร์” วางอยู่บนพื้นตอนกล้องถ่ายประตูที่เปิดเองแต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเคสคอมพิวเตอร์จริงหรือไม่ ส่วนอีกฝ่ายที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงเพราะเว็บไซต์ Liveleak.com ได้มีการนำคลิปนี้ไปโพสต์ด้วยเช่นกัน และส่วนใหญ่กว่า 90% ของคลิปบนเว็บไซต์นั้นคือเรื่องจริง

อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้ที่ทำการหาข้อมูลของคลิปนี้แต่ก็ไม่พบข้อมูลใดๆ ที่เชื่อมโยงกับค่ายหนังหรือนักทำคลิปวิดีโอคนใดที่อยู่เบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย ซึ่งขัดกับความเป็นจริงที่ว่าการทำคลิปออกมานั้นถือว่าต้องมีการลงทุนและแน่นอนว่าต้องมีการคำนวณถึงสิ่งที่จะได้ตามมาด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ปรากฏ ราวกับว่าฟิล์มม้วนนี้จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาโดยที่ไม่มีที่มาที่ไปนอกจากประวัติสั้นๆ
ซึ่งถ้าลองคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ภาพในวิดีโอที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดนั้นอาจจะทำให้มันกลายเป็นวิดีโอที่บันทึกภาพการถูกวิญญาณสิงที่น่ากลัวที่สุดในโลก ก็เป็นได้

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2564

นี่คือเรื่องเล่าสุดหลอนของสถานพยาบาลทหารบาดเจ็บในแห่งฟิลิปปินส์


ค้นหา
นี่คือเรื่องเล่าสุดหลอนของสถานพยาบาลทหารบาดเจ็บในแห่งฟิลิปปินส์ที่ถูกทิ้งร้าง ที่คนลองของต้องเจอดี

สถานที่หลอนที่สืบเนื่องมาจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเวียดนาม ฐานทัพอากาศของสหรัฐฯ ที่ถูกสร้างในประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นที่รักษาตัวของทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสงคราม แต่ภายหลังมันถูกจำในฐานะพื้นที่สุดเฮี้ยนที่กลายเป็นหนึ่งในสถานที่วัดใจของวัยรุ่นที่มักจะออกมาพร้อมกับประสบการณ์แปลกๆ

“Clark Air Base Hospital” หรือ ศูนย์ปฐมพยาบาลประจำฐานทัพแห่งอากาศ Clark Air Base หรือ ฐานทัพอากาศคลาร์ก ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1903 เพื่อเป็นฐานทัพของทั้งฟิลิปปินส์และกองทัพสหรัฐฯ มันถูกใช้งานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ) และสงครามเวียดนาม
โดยเป็นที่พักพิงทหารของสหรัฐฯ ที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามในระหว่างการรบในภูมิภาคแห่งนี้ที่มีทหารรอดและเสียชีวิตในศูนย์รักษาตัวแห่งนี้ตลอดหลายปีมากหลายพันนาย

พร้อมกับเรื่องเล่าว่ามีทหารที่ถูกปล่อยให้เสียชีวิตด้วยอาการบาดเจ็บจากการรบ โรคติดต่อ ฆ่าตัวตายภายในศูนย์รักษาแห่งนี้โดยที่ไม่มีใครสนใจไยดี บางก็ว่าโหดร้ายถึงขั้น “ลอบวางเพลิงศูนย์รักษาแห่งนี้” เพื่อจะได้ไม่ต้องดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บก่อนกลายเป็นอาคารว่างเปล่าที่ไม่มีใครมาเหยียบอีกเลย พื้นที่บางส่วนของฐานทัพถูกสร้างเป็นสุสานของทหารสหรัฐฯ และอาสาสมัครลูกเสือชาวฟิลิปปินส์หลายพันนาย ฐานทัพก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปหลังจากสิ้นสุดสงคราม

ในปี 1991 เหตุการณ์ภัยพิบัติภูเขาไฟ Pinatubo ระเบิด พื้นที่บริเวณฐานทัพเกือบทั้งหมดเสียหาย (เดิมก็ถูกทิ้งร้างอยู่แล้ว) จนกระทั่งปี 1995 มันพื้นที่ดังกล่าวถูกบูรณะใหม่อีกครั้งในเขตฐานทัพเดิมและได้กลายเป็นสนามบินนานาชาติของฟิลิปปินส์ในชื่อ Clark International Airport และเขตเศรษฐกิจในชื่อ Clark Freeport Zone ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตามอาคารที่ตั้งของ Clark Air Base Hospital ก็ยังคงเป็นสถานที่ร้างที่ยังไม่ถูกพัฒนาและด้วยความเป็นมาของศูนย์รักษาแห่งนี้ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ของพวกที่ชอบลองดีและมักจะพบกับประสบการณ์หลอนอยู่เสมอ จนขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดอันดับต้นๆ ประเทศ 

คนบางกลุ่มเชื่อว่ามันยังคงเป็นที่อยู่ของวิญญาณทหารสหรัฐฯ ที่ถูกทอดทิ้ง ใครที่ผ่านไปแถวนั้นมักจะพูดถึงเสียงกรีดร้อง เสียงเปิด-ปิดประตู เสียงวัตถุหล่นดังออกมาจากอาคารแห่งนี้ รวมถึงกล้องที่บันทึกภาพก็จะมีภาพแปลกๆ ติดมา รวมถึงอาการภาพขัดข้องหลายต่อหลายครั้ง
ชื่อเสียงความหลอนไปเข้าหูรายการล้าท้าผี “Ghost Hunter 
International” จากสหรัฐฯ ได้เดินทางมาพิสูจน์ความหลอนเมื่อปี 2009 ซึ่งก็ได้พบกับประสบการณ์เฮี้ยนๆ ในระหว่างถ่ายรายการ และทีมงานเชื่อว่าที่แห่งนี้มีผีสิงแน่นอน จากคำบอกเหล่าต่างๆ พวกเขาพบเจอทั้งหมด!
เรียบเรียง : Spoke

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ผีเข้าสิง

ผีเข้าสิง
เมื่อผ่านช่วงเวลาของการสอบเอนทรานซ์มา ทุกคนคงจะจำภาพในบรรยากาศรับน้องได้ว่ามีแต่ความสนุกสนานเฮฮา และทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นแต่สำหรับบางคนคงจะไม่มี วันลืมวันนั้นได้เลย เรื่องราวเกิดขึ้นที่สถานที่ๆ เราไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เป็นรีสอร์ทเล็กๆ

เพราะมันไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เลย แต่พวกพี่น้องต่างก็บอกกันว่า เหมาะเป็นสถานที่ไว้ก๊งเหล้าตอนกลางคืน และตอนช่วงบ่ายๆ หลังจากที่คนอื่นได้พาน้องๆไปตะลุยเข้าฐานต้อนรับน้องใหม่กันแล้วก็ถึง หน้าที่ของคนที่ต้องคอยจัดขั้นตอนพิธีการ และพวกเราทั้ง 5 คน ต้องไปตัดต้นกลัวยเพิ่ม เพื่อที่จะนำใบตองมาตกแต่งบายศรีเพิ่ม เพราะที่นำมาจากกรุงเทพฯ พออยู่บนรถก็มีความเสียหายไปบ้าง

ใน 5 คนนั้นมีตัวดิฉันเองและเพื่อนผู้ชาย ซึ่งเรียนรุ่นเดียวกัน 1 คน และยังมีรุ่นน้องตามไปด้วยอีก 3 คน เป็นหญิง 2 ชาย 1 พอเห็นว่าได้ที่ตัดต้นกล้วยแล้วต่างก็ยกมือขอเจ้าที่เจ้าทางว่าขอตัดใบตองไป เพื่อใช้ทำพิธีทำอะไรผิดพลาดไปก็ขออภัยไว้ก่อนจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ผู้ชาย 2 คนที่ต้องตัดต้นกล้วยพวกผู้หญิงจะมาช่วยกันแบกเฉยๆ แต่แล้วในที่สุดน้องผู้หญิงที่ไปด้วยคนหนึ่งกลับพูดว่า ทำไมต้นนี้ตัดยากตัดเย็นเสียจริง ยางก็เยอะ ซึ่งทุกคนก็บอกเออน่า !!! อย่าเที่ยวบ่นไปหน่อยเลย

แต่ใครจะไปรู้ว่าคำพูดของน้อง ผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นความเดือดร้อน
ในเวลาต่อมาเพราะอยู่ๆ เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่เคยพบเจอ และไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อกำลังจะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับน้องๆ จู่ๆ น้องคนนั้นก็มีอาการโวยวาย แล้วนั่งตัวสั่นขึ้นมา ทุกคนก็ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเธอเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร

บรรยากาศจากความเงียบสงบกลายมา เป็นความโกลาหลในทันที เพราะทุกคนนึกว่าเธอจะเป็นลมบ้าหมู หรือเป็นโรคอะไร ช่วยกันปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ จนไปยุ่งกับเขามากมีการตวาดใส่มาว่า ไม่ต้องมายุ่งกับกู พวกแกทำอะไรลงไปทำไมไม่ขออนุญาตกูก่อน

ที่เคยนั่งล้อมกันเป็นวงกลมใหญ่ กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันหมดเพราะทุกคนต่างก็มากระจุกตัวเบียดเสียดอยู่ด้วย กันคราวนี้หัวหน้ารุ่นพี่ที่เหมือนเป็นคนดูแล ทุกคนพูดออกมาว่าตอนเย็นใครไปทำอะไรมาหรือเปล่า ได้ขอโทษเจ้าที่เจ้าทางหรือยัง จนดิฉันนึกถึงคำพูดของน้องผู้หญิงคนนั้นได้ รุ่นน้องคนหนึ่งได้ถอดสร้อยพระนำมาคล้องคอให้กับน้องผู้หญิงรู้สึกว่าน้อง เค้ามีอาการสงบเงียบลง แต่นั่งหน้าตาซึมตลอด จนตลอดทั้งคืนนั้นพวกรุ่นพี่เองก็นอนกันไม่ค่อยหลับทุกคน เลยตัดสินใจว่าจะพารุ่นน้องคนนั้นกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปปรึกษากับพ่อแม่แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้ปกครองของน้องคนนั้น ฟัง น้องคนที่เป็นเจ้าของสายสร้อยได้ติดตามมาด้วยจากกาญจนบุรีแนะนำให้ไปหาหลวง พี่ที่เขาสนิทสนม เผื่อท่านจะช่วยอะไรได้บ้างเพราะพ่อแม่ของน้องเห็นสภาพลูกเขาที่ได้แต่นั่ง
ตาซึม มองซ้ายมองขวาแต่ไม่มีการพูดจาสนทนา หากใครไปมองเข้านานๆจะมีอาการจ้องตาเขม็งตอบ ทุกคนจะกลัวกันมากหลังจากพาน้องไปพบกับหลวงพี่จึงได้รู้ว่า

คนที่ตามน้องมาด้วยนั้น เค้าโกรธมากที่ไปพูดดูถูกเขา หลวงพี่บอกว่าเธอเป็นนางตานี ให้รีบถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เขา และกล่าวคำขอขมาลาโทษไปด้วย พร้อมกับกรวดน้ำ จากนั้นพวกเราก็นั่งในวัด พูดคุยกับหลวงพี่ไปเรื่อยๆ

ในที่สุดน้องเขาก็หายเป็นปกติ งงว่าทำไมถึงมาทำอะไรกันที่วัดนี้ ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือ กำลังนั่งทำพิธีกันอยู่ในคืนรับน้อง พวกเราเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าตัวฟัง เธอถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาเลยและบอกว่าวันหลังจะระวังคำพูดให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่น้องคนนั้นหรอกค่ะที่กลัวทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็หวาดกลัว กันหมด จากนั้นทุกคนก็ได้แกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะทุกคนได้ตรากตรำอดตาหลับขับตานอน กันมาเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเต็มๆ
ทีเดียว

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ห้องน้ำผีนรก

(ภาพประกอบ)

ห้องน้ำนรก
เรียบเรียงโดย...ขนหัวลุกใบหนาด
"นก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องน้ำผีสิง

นก เพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอได้ไม่กี่วัน เนื่อง จากย้ายโรงเรียนตามพ่อเหมือนลูกข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนก็มีเพื่อนเก่ามากมายเพราะต้องย้ายบ่อยครั้ง

โรงเรียนนี้เป็น ตึกสองชั้น ค่อนข้างเก่าแก่เกือบจะทรุดโทรม สนามกีฬาก็มีแต่หญ้าแห้งเป็นกระจุก พอๆ กับเสาธงที่ตั้งแทบจะไม่ตรง ก่ออิฐล้อมรอบ ส่วนธงชาติก็สีซีดจางเต็มที ด้านหลังเป็นห้องน้ำสีน้ำตาลที่สีลอกเป็นแผ่นๆ ถัดออกไปมีแต่ทิวไม้หนาครึ้มแทบจะล้อมรอบทั้งหมด

เด็กนักเรียนที่ บ้านอยู่ไกล ต้องขึ้นรถสองแถวมาบ้าง ถีบจักรยานมาบ้าง สองข้างทางมีบ้านช่องอยู่ห่างๆ กัน บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

เย็นวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น!

วัน นั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ฟ้าครึ้มฝนจนไม่มีแสงแดดส่องลงมาเลย แต่นักเรียนชายเล่นฟุตบอลกันเกรียวกราว ส่วนนักเรียนหญิงบ้านใกล้ๆ ก็เดินกลับ บ้างก็ขี่รถจักรยานที่มีเพื่อนซ้อนท้าย แต่ส่วนหนึ่งยังรอรถสองแถว โดยจับกลุ่มกินขนมกันที่โต๊ะใต้ต้นไม้

นกรอรถสองแถวเหมือนกัน แต่รู้สึกปวดท้องเบาเลยปลีกตัวไปที่ห้องน้ำด้านหลัง มีต้นกล้วยใหญ่ๆ ขึ้นดกหนาทั้งตามทางเดินและหลังห้องน้ำ

มี การแบ่งเป็นสุขาชาย-หญิงเรียบร้อย ของผู้ชายต้องเดินเลยไปด้านใน ส่วนของผู้หญิงมีประตูมิดชิด เข้าไปด้านในเป็นอ่างล้างมือทางซ้าย ห้องสุขาเรียงรายอยู่ด้านขวา...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว

จู่ๆ เสียงประตูก็ปิดโครมจนนกสะดุ้งโหยง...

รู้สึกเหมือนโดนขังไม่มีผิด! อากาศเย็นวูบลงจนขนลุกซ่า...นกนึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เลยเดินกลับไปเปิดประตู แต่ปรากฏว่ามันปิดสนิท!

เอ๊ะ! อะไรกันนี่? ใครต้องแอบย่องตามหลังมาเล่นแกล้งแน่ๆ เลย เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นช่องลมของอิฐบล็อกแบบโปร่งๆ สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง

เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครครวญครางอยู่ข้างนอก

เสียงยอดตองกระทบกันเพราะแรงลมดังพึ่บๆ น่ากลัว อากาศก็เย็นลง... เย็นลงทุกที ทั้งๆ ที่อยู่ในฤดูร้อนแท้ๆ

นก หายปวดท้องเบาเป็นปลิดทิ้ง อยากจะเผ่นออกจากห้องน้ำนี้โดยเร็วที่สุด ดูมันหลอนๆ น่าสยองอย่างบอกไม่ถูก แต่ประตูห้องปิดสนิท...หรือว่าภารโรงเข้ามาปิดประตูใส่กุญแจเสียแล้วเพราะ ไม่รู้ว่ามีคนอยู่

ทำไมแกไม่เข้ามาดูแลให้แน่ใจก่อนนะ?

ปราด เข้าไปเขย่าประตูก็แล้ว ใช้กำปั้นทุบแรงๆ ก็แล้ว แต่คำตอบคือความเงียบจนน่าใจหาย นกอยากร้องไห้เพราะความกลัวระคนกับอัดอั้นตันใจ ตะเบ็งเสียงแทบแสบแก้วหูตัวเอง

"ช่วยด้วย! เปิดประตูด้วย นกอยู่ในนี้...ช่วยด้วย..."

คราว นี้น้ำตาไหลพรากเลย ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนไปมา ตัดสินใจเดินย้อนเข้าไปข้างใน ผ่านประตูห้องสุขาราว 4-5 ห้องที่เปิดแง้มอยู่ทุกห้อง...มองหาลู่ทางว่าจะออกไปจากห้องน้ำนี่ได้ยังไง กัน?

โครม! โครม!!

สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องกรี๊ดๆ อย่างลืมตัว เมื่อเสียงสนั่นหวั่นไหวเกิดจากประตูห้องสุขากระแทกปิด-เปิดออกแล้วก็ปิดปึง ปังให้เห็นต่อหน้าต่อตา

คราวนี้นกสติแตกกระเจิงในบัดดล!

ยก สองมืออุดหู หลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้า...ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วๆ ตาม ด้วยเสียงเรียกชื่อ มีใครมาจับไหล่ทั้งสองข้างเขย่า เล่นเอาสะดุ้งผวา กรีดร้องไม่หยุดหย่อน จนแรงเขย่าเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังๆ อยู่ข้างหูจึงได้ลืมตามอง

เห็นหน้าเพื่อนๆ กับครูประจำชั้น ทำให้ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นใจสุดขีด รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตายมาหยกๆ

วัน ต่อมาจึงได้รู้ความจริงว่า มีนักเรียนม.3 ผูกคอตายในห้องน้ำเพราะโดนพ่อแม่ดุด่าเรื่องไม่สนใจการเรียน...มีเด็กถูกผี หลอกหลายคนแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำต้องมากันหลายๆ คน แต่นกเป็นเด็กใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยถูกผีหลอกแทบจะช็อกตาย!

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ลบยันต์ที่ประตู เลยเจอดี!!

ยันต์
เราเคยอยู่ห้องเช่ากับเพื่อนผู้หญิงที่หน้าโรงพยาบาลทหารเรือ ตอนที่ย้ายเข้าไปเจ้านายซึ่งเป็นคนเลือกห้องให้ อำเล่นโดยการคุยกับเพื่อนเขาให้เราได้ยินว่า "เฮ้ย ไอ้นักร้องคนนั้นที่มันตายในห้องมันผูกคอตายหรือแทงตัวตายวะ" เราเลยพูดแทรกเจ้านายว่า อย่าอำเสียให้ยากเลย เราไม่มีความเชื่อเรื่องนี้หรอก ไม่กล้วจ้า และเมื่อเราย้ายของเข้าไป ตอนนั้นงงมาก ว่าทำไมห้องนี้มันร้างมานานหรือยังไงเนี่ย เพราะฝุ่นที่พื้นเยอะมาก และที่สำคัญวงกบประตูห้องน้ำซึ่งเป็นไม้ มีปลวกขึ้นจนมีขุยดินซึ่งเกิดจากปลวกเยอะมาก ถ้ามีคนอยุ่เวลาอาบน้ำ ดินจะถูกล้างออกไป หรือไม่ ปลวกก็คงเสนอหน้าออกมาอย่างนี้ไม้ได้ แต่ก็แค่สงสัยเท่านั้นว่าตึกใหม่ๆ อย่างนี้ และเจ้าของเองก็บอกว่า

ห้องมักจะเต็มตลอด เอทำไมห้องนี้เหมือนร้างมานาน วันแรกที่ย้ายของเข้าไปก็ทำความสะอาดกันยกใหญ่ เราถูพี้นด้วยมือตัวเอง นั่งคุกเข่าถู ถู และถู ไปเรื่อยๆ จนวนไปถึงประตูห้อง ก็เลยถือโอกาสเช็ดประตูไปด้วย โดยเริ่มเช็ดจากล่างขึ้นบน จนไปถึง..เอ แป้งอะไรหว่าติดประตู ก็ไม่ทันคิดอะไร ยังคงถูสุงขึ้นเรื่อยๆ จนสงสัย แป้งอะไรวะ เลยยืนและถอยหลังออกมาดูระยะห่างพอสมควร อ้าว ซวย นี่มันยันต์นี่หว่า แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงว่า คงจะมียันต์ที่ประตูทุกห้องมั้ง ตอนเราย้ายเข้ามา ไม่ทันสังเกตุ แต่พอคืนแรกที่ย้ายเข้าไป กลางดึก เพื่อนบอกว่า ตัวเอง ขอเปิดไฟนอนได้มั้ย ?? เราก็บอกว่าปกติเธอเปิดไฟนอนเหรอ เพื่อนบอกเปล่า เราก็เลยถามว่า แล้วจะเปิดทำซากอะไร กลัวเราเหรอ ผีน่ากล้วกว่าเรานะ เพื่อนรีบเอามือปิดปาก แล้วบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เล่าให้ฟัง พอรุ่งเข้าต่างคนต่างรีบไปทำงานก็เลยไม่ได้คุยกัน จนตอนเย็นเพื่อนบอกว่า วันนี้จะไปค้างกับเพื่อนที่หน้ารามฯ นะ อ้าว นอกจากจะไม่เล่าเรื่องเมื่อคีนแล้วยังทิ้งตูอีก ก็ช่างเหอะ เราก็กลับห้องพักคนเดียว นอนคนเดียวก็ไม่เห็นมีอะไร แต่เพื่อนที่อยุ่ด้วยกันเธอชอบทำท่าประหลาด
ชอบถามว่าเคยเจออะไรมั้ย แต่ไม่ยอมเล่าว่าเจ้าหล่อนเจออะไร แต่เจ้าหล่อนมักจะไม่ยอมนอนค้างกับเราในคืนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ โดยให้เหตุผลว่าต้องไปนอนกับเพื่อนที่หน้ารามฯ จนมีอยุ่วันหนึ่ง ขณะที่ล้มตัวลงนอน แต่ยังไม่หลับ เราก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยในความมืด จนตาเริ่มชินกับความมืดจึงเห็นสิ่งของบ้าง แต่ไม่ชัดเจนนัก มองไปเรื่อยเปื่อยจนไปหยุดอยู่ที่พัดลมติดเพดาน ก็สงสัยว่า เอทำไมพัดลมมันห้อยลงมานิดๆ นะ คือทำท่าจะหลุดจนเห็นสายไฟของตัวพัดลมซึ่งร้อยติดอยู่กับเพดาน เอ..มันน่าจะมีสาเหตุจากการที่ต้องถูกดึงรั้งจากอะไรสักอย่างที่หนักเอาการ มันถึงห้อยลงมาแบบนี้ เท่านั้นแหละ เจอเลย เรานอนหงายลืมตาอยู่แต่ทุกอย่างมืดสนิท ในความมืดนั้น ยังมีมืดกว่าอีกและรับรู้ได้ว่ามีบางอย่าง บางสิ่ง เป็นผุ้หญิง นอนลอยเหนือเราอยู่ หน้าแทบจะชนกับจมูกเรา เรากลัวจนไม่กล้ากระดิกตัว ถามตัวเองว่า นี่ใช่ผีหลอกอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นอะไรล่ะ เราจึงนอนอยุ่นิ่งๆ

ตั้งสติแล้วพยามยามคิดว่าคงเป็นเงาของอะไรสักอย่าง แต่ทำไมเรารุ้สึกว่า เงามืดนั้นเศร้ามากและโกรธแค้นอะไรสักอย่าง จึงตั้งสติใหม่และบอกกับสิ่งนั้นว่า เราและคุณไม่เคยรู้จักกัน และเราเองไม่เคยทำร้ายคุณเลย คงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่คุณจะมาทำร้ายเรา หรือทำให้เรากลัวจนแทบตาย ดังนั้น หากคุณจากโลกนี้ไปด้วยความทุกข์และความเศร้า ก็อย่าเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองด้วยการมาทำร้ายเราเลย มันบาปนะ หรือถ้าต้องการให้เราช่วยเหลืออะไร ก็มาดีๆ มาทางความฝันเถอะ จะได้คุยกันได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเราจะช่วย เงานั้นจึงค่อยๆ จางลงไป จนเรามองเห็นพัดลมเหมือนเดิมก่อนที่เธอจะมา พอหายจากอาการนั้นแล้ว เราจึงเผ่นไปเปิดไฟนอน เออ อย่างนี้นี่เอง เพื่อนมันถึงขอให้เราเปิดไฟนอน เราอยู่ห้องนั้นต่อไปคนเดียวโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรอีกเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ไปทำบุญให้เธอผู้นั้น หรือฝันถึงเธอผู้นั้นอีก จนเราเองคิดไปว่า เหตุการณ์ที่เราเจอคงเป็นเรื่องของการนอนทับเส้นประสาทอะไรสักอย่างของเรามากกว่าเรื่องของวิญญาณ จนผ่านไปหลายปี เราย้ายห้องพักไปอยู่ที่ใหม่ มีอยู่วันหนึ่งขณะนั่งเล่นอยู่ที่ศาลานั่งเล่น ก็มีผู้เช่าห้องหลายคนมานั่งคุยกัน คุยกันหลายเรื่องจนถึงผู้หญิงคนหนึ่งเธอเล่าว่า เพื่อนของเธอเป็นนักร้อง และมีผู้ชายมาติดพัน ขอเลี้ยงดูเป็นเมียลับๆ

จนกระทั่งนักร้องคนนั้นท้องได้ 2 เดือน พอผู้ชายรู้เข้าก็หายหน้าไปเลย นักร้องคนนั้นจึงโทร.ไปตามและขู่ว่าถ้าไม่มาคืนนี้จะผูกคอตาย เมื่อรอจนผู้ชายไม่มา นักร้องคนนั้นจึงได้ผูกคอตายจริงๆ เพื่อนๆ ไปพบศพของเธอห้อยอยู่กับพัดลมติดเพดาน 3 วันหลังเธอตาย เรากลืนน้ำลายดังเอี๊อก ถามเล่นๆว่า นักร้องคนนั้นอยู่อพาร์ทเม้นท์ชื่ออะไร ผุ้หญิงคนนั้นตอบชื่อ...... เราถามต่อไปว่าห้อง 503 หรือเปล่า เธอถามเรากลับว่ารู้เบอร์ห้องได้อย่างไร เราตอบว่า อิฉันพึ่งย้ายออกมาจากห้องนั้นค่ะ แต่ววววว !!!!!!!!!

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีทำเมื่อคนอยากเห็นผี

[images.jpg]

* + ปรากฏการณ์ที่ 1: เยื่อกระจกตาคนตาย + * *
* *...ถ้าชีวิตของคุณตกอยู่ในโลกที่มืดมิด
และกำลังเสาะหาแสงสว่าง...
สำหรับหญิงสาวตาบอดที่เฝ้าฝันถึงโลกที่สวยงาม
การมองเห็นเฉกเช่นคนอื่น
ย่อมเป็นความปรารถนาที่เฝ้าคอย เพียงทว่าควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเลือกมองโลกผ่านมุมมองของคนที่ไม่รู้จัก จะเป็นสิ่งที่ดีเพราะมันอาจทำให้คุณได้เห็นและสัมผัสกับสิ่งที่คุณไม่อยากเจอเลยทั้งชีวิต
* * + คำเตือน :
เมื่อโลกแห่งวิญญาณที่ผ่านนัยน์ตาของคุณถูกเปิดแล้ว
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะหันหลังกลับ
* * +ปรากฏการณ์ที่ 2: คนท้องเห็นผี+ * *
* *...การเกิด และการตายคือ 2
สิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ชั่วนิรันดร์…* *
* * มีหลายเหตุผลที่หลายคนไม่เคยล่วงรู้
สาเหตุของการดิ้นของลูกน้อย
ลูกเตะสำหรับมารดาที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์นำมาซึ่งปัจจัยในการเชื่อมโยงระหว่างโลกของคนเป็นและคนตายได้โดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวที่กำลังตั้งท้องและคิดฆ่าตัวตาย * *
* * +คำเตือน :
สำหรับสาวใจแตกที่ตั้งท้องและกำลังคิดสั้นด้วยการกินยาเกินขนาด
* * +ปรากฏการณ์ที่ 3 : ผีถ้วยแก้ว + * *
* *...หากบ้านของคุณมีผีมากกว่าหนึ่งตน
มีอยู่ที่หนึ่งที่พวกมันจะไปอยู่รวมกัน... * *
* *แม้ว่าผีที่อยู่ในถ้วยมักมีนิสัยอยากรู้อยากเห็น
แต่ส่วนใหญ่มักชอบความสันโดษ แต่ผีไม่ได้สิงในถ้วยทุกใบหากใบไหนมีผีสิงอยู่
ระหว่างมันออกหากิน ให้คว่ำถ้วยใบนั้นบนจานรองเสีย
เพื่อที่มันจะได้กลับเข้ามา
ไม่ได้ วิญญาณประเภทนี้สามารถรับรู้ถึงการปรากฏตัวของคนผ่านรอยสัมผัสถ้วย
หรือบางครั้งก็ในรูปของคราบที่ถูกทิ้งไว้บนใบชา หรือคราบกาแฟหากอยากรู้ถึงโชคชะตาให้จับคู่ถ้วยกับชามให้ถูกต้อง การที่จะได้พบพวกมัน
คุณต้องพยายามสอดส่ายตอนที่ไล่มันออกจากถ้วย
ผีมักจะทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงที่สิงสู่
และมักจะได้เห็นรอยแผลที่แสดงให้เห็นอยู่เสมอ
* * + คำเตือน : ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่
ให้เก็บรักษาถ้วยและชามที่เข้าชุดอย่างน้อยหนึ่งชุดไว้ในบ้านเสมอ
* * + ปรากฏการณ์ที่ 4: เสียงเรียกตอนอาหารมื้อดึก 
* *...อาหารเป็นของสำหรับสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นผีจึงไม่สามารถกินอาหารได้
แต่ถ้าพวกมันลืมไปว่าสถานะของพวกมันคืออะไร
พวกมันก็จะต้องตายเพราะความหิวโหย...
คนที่ชะตาไม่ถึงฆาตมักมีความสับสน
จริงอยู่พวกมันอาจสำเหนียกว่าร่างกายดับสูญไปแล้ว
แต่พวกมันก็ยังไม่สามารถรับได้ว่า ตนเองตายไปแล้วจริงๆหากอยากมองเห็นวิญญาณพวกนี้
ให้นำอาหารไปวางไว้บริเวณจุดที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุ
หรือบริเวณทางแยกที่เป็นทาง 3-4 แพร่ง
หลังจากให้อาหารแล้วก็ให้เคาะหม้ออาหารด้วยช้อนส้อมหรือตะเกียบเสียงดังกล่าวจะทำให้วิญญาณตายโหงเหล่านั้นนึกว่าได้เวลาที่จะต้องกินอาหารแล้ว
* * +คำเตือน :
อย่าหยุดเคาะช้อนส้อมหรือตะเกียบจนกว่าอาหารจะหมดไปจากจาน
* * +ปรากฏการณ์ที่ 5 : เล่นซ่อนหา+ * *
* *...กำลังมองหาที่ซ่อนที่ไม่มีใครหาเจออยู่ใช่ไหม
ลองหลบอยู่หลังวิญญาณดูสิ…* *
* *ผีที่ยังตัดความเป็นคนไม่ขาดมักชอบสังเกตอะไรรอบตัวเสมอแม้ว่ารายการทีวียามดึก หรือการเล่นไพ่คือ สองสิ่งที่พวกมันโปรดปราน
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เทียบเท่ากับการเล่นซ่อนหา
การเล่นเกมแบบนี้ในสวนสาธารณะตอนกลางคืน
ถ้าให้ดีลองเล่นในบริเวณสุสานดูซิ
มักมีผีขี้เล่นเข้ามาร่วมสนุกอยู่เสมอ
โดยพวกมันมักจะช่วยบังผู้เล่นคนใดคนหนึ่งไว้
วิญญาณพวกนี้จะบังไม่ให้คนซ่อนได้เห็นภาพเบื้องหน้าหากไม่มีแมวดำผ่านเข้ามา
คุณก็จะไม่เห็นอะไรอีกต่อไป
* * +คำเตือน : ให้สวมนาฬิกาข้อมือทุกครั้งที่เล่นเกมนี้
ความคิดเห็นที่ 8
* * +ปรากฏการณ์ที่ 6: ดินฝังศพป้ายตา + * *
* *….การจะได้เห็นวิญญาณกับตา
คุณต้องหาดินที่ฝังร่างพวกมันให้ได้เสียก่อน…* *
* * ดินมักจะซึมซับเอาวิญญาณของศพที่เพิ่งตายใหม่ๆ
ดินที่อยู่ลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งซึมซับวิญญาณมากเท่านั้น ดินที่สกปรกหากป้ายดินดังกล่าวที่บริเวณตา จะทำให้เห็นว่าผีกำลังทำอะไรอยู่
จงอย่าทำอย่างที่ว่าบริเวณที่ผีชุมนุมกันอยู่
เพราะพวกมันจะพาคุณไปอยู่กับมัน
* * + คำตือน : ให้อยู่ห่างจากแสงสีขาวสว่างจ้าเอาไว้
* * +ปรากฏการณ์ที่ 7 : เงามืดในกระจก+ * *
* * ...บางครั้งมันก็อยู่ใกล้ตัว กว่าที่คุณคิด เงามืดผ่านกระจกยามเที่ยงคืน * *
* * เสียงนาฬิกาดังตี 12 ครั้งพึงจำไว้ว่า
ถึงเวลาที่ใครบางคนรอพบคุณอยู่ เพียงหยิบหวีที่คุ้นเคยนั่งลงตรงหน้ากระจกปิดไฟให้มืดมิด จุดเทียนให้เห็นความสว่างเพียงรำไร
จ้องมองตัวเองที่หน้ากระจก แล้วเริ่มต้นหวีผม
จับตาดูให้ดีบางสิ่งบางอย่างจ้องมองมาที่คุณผ่านเงาสะท้อนมืดก็จะเห็นผีผ่านกระจก
* * + คำตือน : อย่าแปลกใจที่ในกระจกอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคุ้นเคย
* * +ปรากฏการณ์ที่ 8 : เงามรณะ + * *
* *...ข้อห้ามบางอย่างพึงจำไว้
อาจมาจากประสบการณ์ที่ปราศจากลมหายใจ..
* *
* * เงาทุกเงาล้วนมีที่มา เฉกเช่กในระหว่างที่คุณเดินทางหรืออยู่แห่งหนใดภายใต้ชายคา หรืออาคาร ระวังให้ดีถ้ามีร่มอยู่ในมือคนไม่เชื่อหลายคนล้วนอาจประสบการณ์สยองมาแล้ว จากความคะนองกางร่มในมืดเงามรณะจะถามหาและติดตามคุณไปตลอดกาล
* * +คำเตือน : สัมผัสสยองที่ไม่เกี่ยงเพศ และวัย
ถ้าใจไม่แข็งอย่าลอง
* * +ปรากฏการณ์ที่ 9 : หว่างขา + * *
* *…คือ ช่องทางจากโลกนี้สู่อีกโลกหนึ่ง...โลกของคนตาย * *
* *คนเราอาจจำไม่ได้แล้วว่าเราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ได้อย่างไรแต่แน่นอนว่าทุกคนรู้ดีว่าตัวเองเองออกมาจากหว่างขาแม่ของเราหากอยากมองเห็นโลกอีกโลกหนึ่งให้ลองก้มมองลอดหว่างขาตัวเองดู
แต่อย่ามองนานจนคนในอีกโลกที่เราเห็นรู้ตัวเข้า
เพราะคุณอาจถูกลากเข้าไปในโลกของมันเพื่อเกิดใหม่
* * +คำเตือน : ผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องระวัง ยกเว้นเฉพาะคนท้อง
* * +ปรากฏการณ์ที่ 10 : ชุดงานศพ + * *
* *…ลองสวมชุดคนตาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาตายดูซิ
แล้วลองกลั้นลมหายใจดู การเดินทางสู่ปรโลกจักเริ่มต้น …* *
* * หากอยากรู้ว่าภพหน้าเป็นอย่างไร ก็ลองจัดงานศพปลอมๆให้ตัวเองด้วยการขอยืมโลงศพจากคนตายที่รอฌาปนกิจมาลองนอนดู
จงอย่าลืมนำเหรียญติดตัวไปด้วยหลายๆ เหรียญ
เพราะการลองทำเช่นนั้นคุณจะต้องจ่ายด้วยอะไรบางอย่าง
ข้อปฎิบัติ
• ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน และต้องไม่เลยเที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่
•ทุกวิธีห้ามใส่พระยกเว้นวิธีที่ 8
•วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือวันพุธและ วันศุกร์และวันอาทิตย์
•ทุกวิธีอาจจะให้คนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุบว่าคุณต้องทำคนเดียว
•ทุกวิธีต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา
วิธีที่1*“มองลอดใต้หว่างขา” (เห็นผี 21 คน)
1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริง ๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี
2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้มจะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก
3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้ แต่ห้ามพนมมือ)
4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้า ๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม (ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า“พุทโธทายะ” (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3 ครั้งด้วย)
***เพื่อให้เห็นภาพ*** 
รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า
“พุทโธทายะ” และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3
5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้ แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้ และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้
6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด) เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว “ให้ตั้งสติดี ๆ” แล้วลืมตา
7. แล้วผีจะมาให้เห็น

***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็จะอยู่ไกล หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน***
1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที
2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย
3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง “พุทโธ” แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง ::
วิธีที่2*“ตัดเล็บตอนกลางคืน” (เห็นผี 12 คน)
***ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่”***
1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง ,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง)
โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย
*เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บ มิเช่นนั้นจะไมได้ผล*
2. น้ำเศษเล็กที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว ไม่ใช่ผ้าใหม่)
3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พักอาศัย
4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง “แก๊กๆ” นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ
5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้ (เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน
6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้ คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ
7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)
วิธีที่3*“หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย” (เห็นผี 16 คน)
- วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น
- วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที
- นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย
1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที
2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที
3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี
4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ) แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7)
แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น
5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี
*วิธีที่4* “ดีดลูกคิดตอนกลางคืน” (เห็นผี 32 คน)
- ลูกคิดที่ใช้ดีด ให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น
- ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา
2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ) ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย
3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก
4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น
5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม* นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด
วิธีที่5* “เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน” (เห็นผี 6 คน)
1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว)
2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา)
3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น
วิธีที่6* “ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว” (เห็นผี 31 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า (ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง)
2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า)
3. แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่7* “แหงนหน้ามองตรงบันได” (เห็นผี 42 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ (ใช้ก้นลงบันได้นั่นเอง)
2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด
3. แล้วผีจะมาให้เห็น
*วิธีที่8* “สวมพระกลับหลัง” (เห็นผี 28 คน)
- ต้องทำคนเดียว
1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย)
2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น
3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี

• 10วิธีเห็นผี
ข้อ1 นำตะปูโรงศพแขวนคอแล้วเดินวนรอบสถานที่ที่พิสูจน์3รอบแล้วก้มดูระหว่างขา
ข้อ2 นำอาหารและของหวานต่างๆและเคาะรอบจอน3รอบและกินของเส้นและก้มมองดูระหว่างขา
ข้อ3 นำตะปูโรงศพมาตอกไว้หน้าประตูห้องที่จะเล่นแล้วเล่นผีถ้วยแก้ว
ข้อ4 ต้องใช้ 2 คนคนหนึ่งคาบธูปคนหนึ่งถือธูป คนที่คาบธูปนั่งหรือนอนตรงที่ที่คนตาย
คนที่ถือก็นั่งห่าง 1 ก้าวแล้วท่องคาถาเรียกผี
ข้อ 5 ต้องใช้2คนคนหนึ่งนอนในโรงคนหนึ่งท่องคาถาเรียกผีแต่ต้องนอนในโรงศพใหม่ๆที่ยังไม่มี
คนตาย คนที่นอนต้องถือดอกไม้เหมือนคนตาย
ข้อ 6 นำขี้เถ้าโรงศพมาป้ายตาแล้วท่องคาถาเรียกผี
ข้อ 7 นำของของคนตายมาวางไว้ข้างหน้าตัวเราแล้วท่องคาถาเรียกผี
ข้อ8 นั่งสมาธิให้ใจสงบว่างเปล่าก่อนแล้วผีจะมาเอง
ข้อ 9 นอนถือดอกไม้เหมือนคนที่ตายแล้วในห้องเปลี่ยวๆแต่ที่ที่มีคนตายเท่านั้น
ข้อ10 นั่งในห้องที่มีคนตายอยู่ในตอนกลางคืนแล้วท่องคาถาเรียกผี
(คาถาเรียกผี "สัมภเวสี จุตินัง" ท่อง3ครั้ง)
credit by xchange.teenee.com ครับ

เรื่องเล่าของเดียรัจฉานวิชา

[images.jpg]
เล่าเรื่องเดรัจฉานวิชา
ก่อนจะเข้าพรรษาประมาณเดือน พฤษภาคม ก่อนฝนจะมาชาวบ้านมะแว้ง ได้มีโอกาสต้อนรับพระภิกษุสงฆ์สูงอายุราว ๆ ๖๐ เศษ ท่านได้ธุดงค์ผ่านมา ท่านปรารภว่า " เข้าพรรษาปีนี้อาตมาประสงค์จะจำวัดที่หมู้บ้านมะแว้งแห่งนี้ " พุทธบริษัทต่างปรีดาปราโมทย์เป็นยิ่งนัก จึงพร้อมใจกันสร้างกุฏิขึ้น ๑ หลัง เลือกสถานที่เริ่มแม่น้ำเพราะเห็นวิเวกดีเขตชายแดนติดต่อประประเทศเขมรของภาคเหนือแห่งหนึ่ง เส้นทางแสนจะลำบากลำเค็ญในทุก ๆ ฤดู เป็นเวรกรรมของผู้ที่ใช้เส้นทางนี้ หมู่บ้านมะแว้ง ตั้งอยู่กลางดงไม้อันหนาแน่นไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ริเริ่มในการมาลงหลักปักฐาน ถึงแม้นจะเป็นกลางดงลึก แต่ก็มีผู้คนอาศัยอยู่เกือบ ๕๐ หลังคาเรือน อาจจะเป็นเพราะดินค่อนข้างต่ำ น้ำค่อนข้างชุ่ม จากต้นน้ำหลาย ๆ สายของทิวเขาตลอดชายแดน

ชาวบ้านมะแวังมีอุปนิสัยชอบในการทำบุญ ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านที่ยากจนแต่ทุกคนมีศีลธรรมรักใครกรมเกียวกันดี จึงทำให้หลวงพ่อพระธดงค์ได้พำนักอย่างสบายใจ ในพรรษาชาวบ้านได้อยู่เย็นเป็นสุขกันมา จนกระทั้งผ่านมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนออกพรรษา ข้าวในนาตั้งรวง อากาศเย็นเริ่มโชยมา ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดเพราะเมฆฝนหายไป มีแต่ปุยฝ้ายเข้ามาแทนที่ ท้องฟ้าสีเงิน ตัดเมฆงามตายิ่งนัก แต่น้ำในห้วยเริ่มขาดแคลน
แล้วข่าวร้ายก็ได้กระจายทั่วหมู่บ้าน หมูแม่พันธุ์ที่มีอยู่ตัวเดียวของนายมิ่ง ที่เลี้ยงไว้ไต้ถุนบ้าน ได้หายไปในตอนกลางคืน นายพรานคงชี้ชัดบอกว่า เสือมาคาบเอาไปกินเพราะบริเวรรอบบ้านมีรอยเท้าเสือเกลือนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาวัวควายก็ทยอยหายไปเรื่อย ๆ แม้แต่สัตว์เล็กอย่างเป็ดไก่ก็พลอยหายไปด้วยเป็นที่หวาดผวาของชาวบ้านมะแว้ง ใครมีวัวมีควายต่างก็นำมาผูกรวมกันไว้คอกกลางหมู่บ้านและได้ก่อไฟเปลี่ยนเวรยามกันอย่างแน่นหนา

พอค่ำหน่อยต่างก็ปิดประตูหน้าต่างกันเงี่ยบไม่ได้ยินแม้แต่เด็กที่ร้องให้เพราะกลัวเสือมันจะมาคาบเอาไปกิน ใครจะมีธุระกลางค่ำกลางคืนมาจะไม่คนเป็นประตูรับเป็นอันขาด ถ้ามีปวดท้องก็กลั้นเอากลั้นไม่อยู่ก็จะต้องมีคนมาคุมไม่น้อยกว่า ๓-๖ ยืนคุมพร้อมด้วยอาวุธที่มี.. ส่วนมากจะไม่มีใครกล้าลงจากบ้านกันเลย

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชาวบ้านมะแว้งต้องสยองขัวญเพราะเสือได้คาบหมูของนายอินนางจันทร์สองสามีภรรยาเอาไปกิน หมาเลี้ยงไว้หลายตัวแต่ละตัวล้วนแต่ดุ ๆ เห่าเก่ง วันที่เกิดเหตุต่างไม่มีตัวไหนเลยที่จะส่งเสียงมาเตือน พวกมันมัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน พรานคงได้นำชายหนุ่มฉกรรจ์ออกตามรอยเท้าเสือก็พบเศษซากของหมูเกลื่อนกลาดไปเป็นทาง

อีกหนึ่งอาทิตย์จะออกพรรษาหัวหน้าชาวบ้านเรียกลูกบ้านมาประชุมกันถึงเรื่อง งานบุญปีนี้จะเอาอย่างไรกันดีเพราะได้มีเสือเข้าในหมู่บ้าน และได้มีผู้กล้าหาญ ๕-๖ อาสาออกไปจัดการกับเสือร้ายโดยนายพรานคงเป็นหัวหน้า พรานคงให้นายวินเป็นคนเอาหมูออกไปผูกล่อเสือตรงกลางทุ่งแล้วพวกขางพรานคงก็ทำคัดห้างที่ต้นไม้ใหญ่คอยจ้องมองว่าเสือมันจะมาคาบเอาหมูที่ผูกไว้เมื่อไหร

เสือมันก็รู้ตัวไม่ยอมโผลมาให้เห็น คืนที่สองก็แล้วจนกระทั้งคืนที่สาม ดวงจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำแสงจากดวงจันทร์สว่างจ้า ลมเย็น ๆ เริ่มโรยตัวลงมาแต่เหล่านายพรานคงยังคงถือปืนจ้องไปที่หมูที่ผูกเอาไว้ เสียงจิ้งหรีดที่พากันร้องจ้าจนแสบแก้วหูพลันพาพร้อมใจกันหยุดร้องเงี่ยบกริบแม้แต่ลมก็พลอยจะหยุดไปด้วย ลมโชยมาอีกครั้งคราวนี้ได้กลิ่นสาบและร่างของเสือก็ปรากฏขึ้น หมูที่ผูกไว้มันรู้ว่าภัยได้มาถึงตัวมันแล้วมันดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อให้เชือกที่ผูกมัดไว้กับตอไม้หลุดออกแต่ก็ไม่พ้นจากกรงเล็บของเจ้าลายพลาดกลอนไปได้ นายพรานคงถึงกับผงะเพราะเสือตัวใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย พอตั้งสติได้จึงยกปืนแก๊ปเล็งและวาดกระบอกปืนไปที่ร่างของเสือ เสียงปืนดังสนั้นหวั่นไหว

ทุกคนเห็นชัด ๆ ว่าเสือกระเด็นกระดอนไปตามแรงของปืน แต่อะไรนั้นมันลุกขึ้นยืนสะบัดขนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และก็ได้คาบเอาเหยื่อแล้วเดินหายลับไปต่อหน้านายพรานคง ทุกคนตลึงอ้าปากค้าง

รุ่งเช้าทุกคนออกตามรอยเสือไป ไม่มีแม้แต่รอยเลือดของเสือคงมีแต่เลือดของเหยื่อเท่านั้นปืนของนายพรานคงทำอะไรมันไม่ได้เลยเหรอ ข่าวเสือร้ายบุกเข้าไปคาบสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน นายอำเภอและตำรวจได้ออกมาช่วยไล่ล่าเสือแต่ไม่มีวี่แววของเสือมาให้เห็นเลย จนกระทั้งออกพรรษา ทุกคนลงความเห็นว่ามันคงแผ่นไปไกลไม่มาในหมู่บ้านนี้แล้ว ต่างคนก็ดีใจที่จะได้ไม่ต้องขวัญหนีดีฝ่อกันอีกแล้วต่างประกอบอาชีพกันตามปกติ หลังจากออกพรรษาไปได้ ๓ วัน ลูกสาวของพรานคงเอาขนมไปให้ยายที่บ้านท้ายทุ้ง ก็ถูกเสือคาบเอาไปกิน ร่องรอยเสือแทะจนเหลือแต่กระดูก ตับไตไส้พุงหายเกลี้ยง มันต้องเป็นเสือตัวเดียวกับตัวเดิมนั้นเอง

ชาวบ้านมะแว้งต้องขวัญเสียอยู่กันอย่างหวาดผวาอีกครั้ง และไม่กี่วันถัดมา มีเด็กถูกเสือคาบเอาไปกินอีก.... เป็ดไก่วัวควายก็เริ่มหายไป ในที่สุดพวกชาวบ้านก็อบพยพหนีเสือกับจนเกือบจะหมดหมู่บ้าน พากันทิ้งข้าวในนาที่กำลังออกรวงเหลืองหร่าม

ท่ามกลางความเงียบและน่ากลัว ได้มีเกวียนเทียมวัวบรรทุกขายสินค้าพาสองสามีภรรยาวัยชราผ่านมาพบกับชาวบ้านชุดสุดท้ายที่เตียมอพยพลูกเมียออกจากหมู่บ้าน พอชายชราเห็นดังนั้นจึงได้ถามไถ่ได้ความมาว่าเสือร้ายได้มีก่อกวนจนเหลือทนแล้ว พ่อเฒ่าทั้งสองก็เหมือนกันต้องรีบออกไปจากหมู่บ้านนี้ก่อนมืดค่ำเดี๋ยวจะไม่ทันการ

ชายชราได้ฟังแล้วก็พูดขึ้นว่านี้ก็เย็นแล้วเห็นจะไม่ทันแล้ว และได้ขอร้องขอให้ทุกคนอยู่แต่ในที่พัก หากว่าคืนนี้มีเสียงอึกทึกครึกโครมอะไรห้ามออกมาดูและส่งเสียงเป็นอันขาด ยายได้ไปชวนพวกผู้หญิงทำอาหารเย็นไว้กินกันก่อนที่จะมืด ฝ่ายตาก็ได้เข้าไปทำพิธีในเกวียน

คืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ แสงจันทร์ได้สาดส่องให้เห็นอะไรในตอนคืนได้เหมือนกับกลางวัน เวลาผ่านไปเลยเที่ยงคืนลูกเด็กเล็กแดงได้นอนหลับกันหมดแล้วยังคงมีแต่พวกผู้ใหญ่ที่คอยเงี่ยหูฟังว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น และทุกคนต่างก็สดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาด เหมือนเสียงวัวควายชนกัน กลางแสงจัทนร์นั้น ควายสีดำเป็นมันล่ำพี ๒ ตัว กำลังต่อสู่กับเสือขนาดมหึมา ควายตัวหนึ่งนั้นถูกแรงตบจากเสือกระเด็นกระดอนไปแต่ควายอีกตัวกระโจรเข้าขวิดทันทีเมื่อเสืองับคอควายตัวที่กระเด็น นอกจากจะไม่ระคายหนังควายแล้ว เสือยังถูกแรงสบัดหลุดกระเด็นแถมถูกซ้ำด้วยการขวิดของควายอีกตัวเข้าด้านหลัง ในที่สุดเสือพยายามหนีเพราะควาย ๒ ตัวรุมเสืออย่างไม่ให้ตั้งตัวติด

และในที่สุดควายตัวหนึ่งพุ่งชน ร่างเสือกระเด็นลอยสูงไปตกบนหลังคากระท่อม จากนั้นมันกระโจนหายไปอย่างไม่รู้ทิศทาง และไม่มีใครรู้ว่ามันไปไหน ควายสองตัวเดินสบัดหัวสะบัดหางเฉียดกระเกวียนสองตายายแล้วร่างของควายทั้งสองก็หายวับจากสายตาที่จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ

รุ่งเช้าพวกชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่ได้พากันดีใจ ได้เตียมอาหารหวานคาวเพื่อไปทำบุญเพราะเรื่องร้าย ๆ ได้มลายหายไปแล้วชาวบ้านไม่ลืมที่ไปชวนสองตายายไปใส่บาตรด้วยกัน และพวกชาวบ้านได้พากันตะลึงอ้าปากค้างก้าวขาไม่ออกเพราะภาพที่เห็น

ที่หน้ากุฏิร่างของของหลวงตานอนหายใจระรวย ตามตัวมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง เลือดสด ๆ ไหลโกรกออกมาจากบาดแผล ตามร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด จมูกและปากก็มีเลือดไหล อะไรหรือนั้นที่ท่อนล่างตั้งแต่ท่อนเอวลงไป เป็นร่างของเสือลายพลาดกลอนเหลืองดำ หางสั่นระริกแสดงว่าใกล้จะสิ้นใจเต็มทนแล้ว

สายตาของหลวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เหมือนจะบอกว่า มีใครบ้างอยากตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ทุกอย่างเป็นกฏของกรรม โดยแท้ เพราะเป็นพระแทนที่จะเจริญศีลภาวนากลับมุ่งร่ำเรียนแต่ เดียรัจฉานวิชา...ผลจึงออกมาเช่นนี้....

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โค้ง100-200ศพ

โค้งที่ว่านี้ ห่างจากตัวอำเภอเขมราฐที่ผมอยู่ไม่เท่าไร มันอยู่ระหว่างเส้นทางที่ทอดยาวเข้าตัวจังหวัดอุบลฯ เพราะฉะนั้นรถราที่วิ่งผ่านโค้งนี้จึงมีมากในแต่ละวัน ความเฮี้ยนของโค้งนี้ดูได้จากการเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก บ่อยเสียจนใครต่อใครต่างบอกว่า…มันจะเอาให้ได้ถึงร้อยศพ และผมเกือบจะเป็นอีกศพหนึ่งที่โค้งนั้น…
(ภาพ)
ลักษณะของโค้งเป็นโค้งหักศอกมีราวเหล็กกั้นไปตามขอบถนนที่เป็นโค้ง ปลายสุดโค้งจะมีต้นจามจุรีใหญ่อายุหลายร้อยปีขึ้นสูงเด่นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครื้ม และต้นจามจุรีต้นนี้ล่ะที่รถหลายต่อหลายคันที่แหกโค้งมามักจะพุ่งเข้าชนเป็นประจำ สังเกตได้ตามลำต้น…เปลือกไม้จะถลอกเป็นรอยและมีรอยไหม้สีดำจับเป็นคราบอยู่
เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนมีขบวนรถทัวร์จากจังหวัดระยองแล่นผ่านมาที่โค้งนี้ คนขับทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ รถถึงได้เลยโค้งพุ่งเข้าหาจามจุรีต้นที่ว่า ผลน่ะไม่ต้องพูดถึง หน้ารถยุบเข้ามาทั้งแถบ คนขับพร้อมเด็กรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าถูกอัดก๊อปปี้ตายคาที่ ส่วนคนโดยสารก็บาดเจ็บหนักบ้างไม่หนักบ้างตามอาการ… พอดีผมกับภรรยาขับรถกลับจากทำงานผ่านมาประสบเหตุเข้า ภรรยาผมเปรยเบาๆ อย่างรันทดกับอุบัติเหตุตอนนั้นว่า “เอาอีกแล้วโค้งนี้…ไม่รู้เมื่อไรจึงจะพอ”
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะครับ แทบจะทุกอาทิตย์ที่ต้องมีคนตายเพราะโค้งนี้ โค้งนี้มันเป็นโค้งอาถรรพณ์

เมื่อหลายวันก่อน ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่อยู่ติดกับโค้งร้อยศพได้พาลูกบ้านและพระสงฆ์หลายรูป มาทำพิธีอุทิศส่วนกุศลและทำพิธีปัดรังควานที่โค้งแห่งนี้ นัยเพื่อเป็นการล้างอาถรรพณ์ เมื่อเสร็จพิธีดูเหมือนจะทำให้ชาวบ้านคลายความกังวลลงได้บ้าง แต่ไม่ทันไร…หลังจากวันทำพิธีได้ไม่กี่วัน วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งควบมอเตอร์ไซต์มาด้วยกันสามคัน แต่ละคันก็ซ้อนสองซ้อนสาม ตามคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า มอเตอร์ไซต์ก็ขับขี่มาตามธรรมดา เมื่อมาถึงโค้งทั้งสามคันก็ผ่อนความเร็ว ช่วงที่เข้าโค้งก็เป็นปรกติทุกอย่าง แต่ฉับพลัน…จู่ๆ
มอเตอร์ไซต์ที่วิ่งนำหน้าเกิดเสียหลักอีท่าไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แฉลบนิดเดียวรถกลิ้งตีลังกาหลายตลบ รถคันที่วิ่งตามหลังเบรกไม่ทันพุ่งเข้าชนซ้ำอีก ก่อนจะปลิวไปอัดกับราวสะพานที่พาดอยู่แนวโค้ง ผลหรือครับ…ตายสี่ สาหัสอีกสาม

ผมเคยคุยกับลุงคนหนึ่งที่บ้านของแกอยู่ติดกับโค้งนี้ ตอนหนึ่งผมถามแกว่า ที่โค้งนี้มีคนตายบ่อยเคยเห็นผีหรือเปล่า ลุงแกบอกด้วยสีหน้าหวาดๆ ว่า “อย่าให้พูดเลยคุณ…ลุงน่ะแทบจะช็อคตายอยู่บ่อยๆ” แกเล่าให้ผมฟังว่า คืนไหนที่เป็นคืนวันพระ แกกับภรรยาแทบจะไม่ได้หลับได้นอน ต้องนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวอยู่แทบจะทั้งคืน เพราะพอตกกลางคืนในคืนวันพระ ไม่รู้เสียงอะไรต่อมิอะไรมันดังจากโค้งมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน บางทีก็เป็นเสียงร้องไห้โหยหวน ฟังแล้วเสียดเข้าไปถึงไขสันหลัง บางทีก็เป็นเสียงรถวิ่งมาแล้วชนเข้ากับอะไรสักอย่าง เสียงดังโครมลั่น พอโผล่หน้าออกไปดูทางหน้าต่าง…ว่างเปล่า…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมเองต้องผ่านโค้งนี้ทุกวันด้วยว่าต้องขับรถไปทำงานผ่านทางนี้ พอผ่านโค้งนี้ทีไรก็อดนึกเสียวแว้บขึ้นมาไม่ได้ คนขับขี่รถทั่วไปเมื่อต้องผ่านโค้งนี้มักจะบีบแตรเสียงดังลั่นไปตลอดโค้ง นัยว่าเป็นการขอผ่านทาง ผมเองก็เช่นกัน แต่วันนั้นผมกับภรรยากลับบ้านดึก ขับรถมาเรื่อยๆ เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติครับ กระทั่งมาถึงโค้งร้อยศพที่ว่า ช่วงที่เข้าโค้งผมใช้ความเร็วต่ำมาก และไม่ลืมที่จะบีบแตรตามปกติ เมื่อใกล้พ้นโค้ง ทันใดนั้น…ผมแทบช็อค เมื่อมองเห็นว่ามีหมาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างทางมายืนจังก้าขวางถนน ห่างจากหน้ารถไม่เท่าไร ด้วยความตกใจผมหักพวงมาลัยอย่างแรง รถพุ่งหลบหมาดำที่ยืนอยู่กลางถนน ดิ่งเข้าหาราวสะพานข้างทางและครูดไปกับราวสะพานไกลพอสมควร ภรรยาผมร้องกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ ดีที่ว่ารถวิ่งมาช้า ไม่ทันไรก็สามารถหยุดรถได้

ภรรยาผมถามเสียงสั่น “พี่เป็นอะไรไปน่ะ…ทำไมจู่ๆก็หักพวงมาลัยลงข้างทางอย่างนั้น” ผมบอกไปว่า หักรถหลบหมาดำตัวใหญ่ที่มันวิ่งมาขวางทาง ภรรยาผมเสียงดังลั่นขึ้นอีกว่า หมาดำที่ไหนเธอไม่เห็นมีเลย…มีแต่ถนนว่างเปล่าเท่านั้น ผมถามภรรยาท่าทางงงๆว่า “เธอไม่เห็นหมาดำตัวนั้นหรือ” ภรรยาผมส่ายหน้าบอกว่าตลอดทางไม่เห็นหมาดำที่ว่าเลย ผมนั่งพึมพำอย่างไม่เชื่อตัวเอง ผมเห็นชัดๆนี่ว่าตอนที่จะพ้นโค้งมีหมาดำตัวใหญ่วิ่งมายืนขวางทาง แต่ภรรยาผมกลลับมองไม่เห็น “หรือว่า…” ผมเอ่ยเบาๆกับภรรยา ไม่ต้องพูดอะไรต่อไปต่างคนก็ต่างเข้าใจ ผมตบเกียร์พารถออกจากโค้งนั้นในทันที ไม่ได้สนใจที่จะลงไปดูความเสียหายของรถด้วยซ้ำ หากอยู่นานเดี๋ยวพาลจะเจออะไรที่โค้งนั้นเข้าให้อีก

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

กระดาษเงินกระดาษทอง

(ภาพประกอบ)

คนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ดังนั้นลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองไปให้ เพื่อแสดงความกตัญญู ด้วยการไหว้เจ้า แล้วเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ และการไหว้เจ้ายังเป็นสิริมงคลแก่ลูกหลาน ให้มีความสุขความเจริญ ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองบางแบบใช้ไหว้เจ้า บางแบบใช้ไหว้บรรพบุรุษ

กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดดีใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานจ้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะไก้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่นใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

อิมกังจัวยี่ คือแบงก์กงเต็กนั่นเอง

อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทาง ไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทอง
ที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตายการเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดสยองทั่วโลก

อันดับ 10 สุสานมัมมี่ ปานาโม อิตาลี (LAS CATACUMBAS DE LOS CAPUCCINOS)
(สุสานมัมมี่

เป็น สุสานใต้ดินเก่าแก่ตั้งอยู่ในใต้อารามนักบวชคาปูชิน แห่งโบสถ์ฟรานซิสกัน ของคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก ที่เมืองปาร์เลอโม (PARLEMO) เกาะซิซิลี ที่นี้มีซากมัมมี่กองเต็มไปหมด จะเป็นชุมชนแออัดอยู่แล้ว ถึงขนาดที่บางศพที่มาทีหลัง ไม่มีที่ให้ยืนสบายๆ ต้องถูกแขวนไว้กับตะขอ บนผนังโน่น และถ้าเดินเข้าไปก็จะเจอแต่ศพนั่ง.....นอน...... ยืน...... และเดิน เอ๊ย เดินไม่มี บางตัวละยังคงสวมเครื่องแต่งกายเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตด้วย มีมัมมี่เด็กด้วยนะ เป็นผู้หญิงอายุ 8 ขวบชื่อโรซาเลีย ลอมบาร์โด (ROSALIA LOMBARDO) ที่ดองไว้70 - 80 ปีแล้วด้วย หน้าตายังน่ารักเหมือนคนนอนหลับเลย สถานที่นี้เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว(จะมีคนไปเหรอ) จำกัดเวลาครับ อยากไปร้องถามไถ่ดูละกัน
อันดับ 9 อุโมงค์ที่ฝรั่งเศส กรุงปารีส (Pont de L’Alma)
(Pont

สถาน ที่เจ้าหญิงไดอาน่าประสบอุบัติเหตุอุบัติเหตุรถคว่ำ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2540 และยังคงเป็นปริศนาค้างคาใจคนทั้งโลกว่าอุบัติเหตุหรือ ถูกฆาตกรรม เพราะในคืนที่เกิดโศกนาฏกรรม มีการเปลี่ยนเส้นทางรถยนต์ไปยังอุโมงค์ Pont de L’Alma อย่างไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่จุดหมายเดิม คือการเดินทางไปยังอพาร์ตเมนต์ของฝ่ายชาย และทำไมวิทยุสื่อสารของตำรวจในกรุงปารีส ไม่สามารถใช้การได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งของเจ้าหญิงเดินทางเข้าสู่อุโมงค์ จนเกิดเหตุร้ายและไม่สามารถติดต่อสื่อสารเพื่อขอรับการช่วยเหลือเพื่อรักษา พระชนม์ชีพของพระองค์ได้อย่างทันท่วงที
เป็นความบังเอิญจริงหรือ? ใครๆ ที่ไปเที่ยวที่อุโมค์ฝรั่งเศสแล้ว ใครๆ ก็ว่าบรรยากาศมันน่ากลัว
อันดับ 8 เทือกเขาร็อกกี้ โคโลราโด (Colorado Rockies)
(Colorado

ที่ สยองคือภูเขานี้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้น เป็นเรื่องของมนุษย์กินคน ที่ไม่ใช่คนป่า ปี 1874 ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด คณะนักสำรวจหกคนได้ขุดอุโมงค์ในหุบเขาโคโลราโด ต่อมาอุโมงค์เกิดถล่ม การสื่อสารถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และต่อมา ฤดูใบไม้ผลิมีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดกลับมาจากหุบเขาโคโลราโด อยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี เขาคนนี้มีนามว่าอัลเฟร์ด แพคเกอร์ และเมื่อเขาออกมาก็ถูกจับเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากินเพื่อนของเขาสองคนเพื่อ มีชีวิตรอดเพราะอาหารหมดและเพื่อนก็ตายไปทีละคนทีละคน เขาเลยอดใจไม่ไหวกินเป็นอาหารเสียเลย ถ้าคุณอยากลองเป็นหรืออยาก รู้ว่ายังไงกับมนุษย์กินคนเป็นยังไง เทือกเขาร็อกกี้ก็พร้อมต้อนรับท่านไปเป็นมนุษย์กินคนอย่างยิ่งด้วยความหนาว และความตาย
อันดับ 7 หมู่เกาะปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea)
(Papua

ปาปัว นิวกินีเป็นเกาะอยู่ทางเหนือ ของทวีปออสเตรเลีย ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆมากกว่า 700 เผ่า แต่ละเผ่าต่างคนต่างอยู่ การเดินทางไปมาหาสู่กันลำบากมาก เพราะพื้นที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน และใครอยากเห็นมนุษย์กินคนก็ต้องเข้าไปลึกหน่อยนะ โชคดีอาจไปทันตอนคืนพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ และกินซุปเนื้อมนุษย์ วิธีปรุงอาหารรายการนี้ง่ายมาก นำน้ำใส่หม้อดินขนาดใหญ่ต้มให้เดือด บั่นศพมนุษย์ที่ตายทั้งสองฝ่ายให้มีขนาดที่จะใส่ในหม้อนั้นได้ใส่ลงในหม้อ นำผักชนิดต่างๆ รวมทั้งมันและเผือกใส่รวมลงไปด้วย ต้มจนสุกและเปื่อยดีแล้วก็ตักออกมากินกัน ส่วนคนที่ยังไม่ตายก็มัดไว้ก่อนและค่อยๆ ฆ่าให้ตาย นำมาปรุงเป็นอาหาร กินเลี้ยงกันในคืนต่อๆ มารองเท้าหนัง ถุงเท้า ตลอดจน เสื้อผ้าก็ถูกนำมาต้มจนเปื่อย และกินจนหมดสิ้นเช่นเดียวกัน สำหรับหัวกะโหลกเก็บไว้ เป็นเครื่องประดับตามบ้านเรือนสวยงามมาก แต่ปัจจุบันใครไปอาจอดเจอซุปเนื้อคนเพราะตอนนี้เขาเลิกแล้วเพราะกฎหมายออกมาว่าห้ามกินเนื้อคนไม่ว่าศัตรูหรือนักท่องเที่ยว! แฮ่
อันดับ 6 โรงงานนรก “ค่ายเอาชวิตซ์” (Auschwitz)
(Auschwitz)

สยอง ที่สุด ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กับ “ค่ายเอาชวิตซ์” (Auschwitz)ที่ใกล้เมืองเอาชวิตซิน โดยค่ายนี้สร้างขึ้นเพื่อสังหารชาวยิวด้วย การรมแก๊สพิษและเผาในเตาเผา โดยมีเหยื่อที่โดนถึง 1 ล้านสองแสนคน จากที่ต่างๆ ทั่วยุโรป จํานวน 22 ล้านคน ไปที่ค่าย โดยขนไปทางรถยนต์ รถไฟ และเรือเดินสมุทร และปัจจุบันสภาพยังเหมือนเดิมทุกประการไม่ว่าเตารมแก๊ส เตาเผา ค่ายพัก คุก มีกลิ่นแห่งความตายติดมาด้วย พร้อมกับความวังเวง เมื่อท่านไปก็อาจเจอผีชาวยิวที่ไม่ไปเกิดอีก ได้สองเด้ง ปัจจุบัน เอาชวิตซ์เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีนักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุด แห่งหนึ่งของ โปแลนด์ ซึ่งพยายามรักษาสภาพ เอาชวิตซ์ให้ใกล้เคียง สภาพเดิมให้มากที่สุด
อันดับ 5 ปอมเปอี (Pompei)
(Pompei)

ปอมเปอีเมืองเก่า สมัยกลาง ตั้งอยู่บริเวณภาคใต้ของคาบสมุทรอิตาลี ริมอ่าวเนเปิล เมืองนี้เป็นชุมชนขึ้นมาก่อนคริสต์ศักราช โดยอยู่ใต้อิทธิพลของกรีก ต่อมาราว 80 ปีก่อนคริสตกาลกลายเป็นเมืองตากอากาศฤดูร้อนของชาวโรมันหลังตกเป็นอาณานิคม ของอาณาจักรโรมัน กระทั่ง ถูกภูเขาไฟระเบิดถล่มทั้งเมือง ตอนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สยองขวัญมาก เค้าหล่อรูปคนตายในท่าที่ถูกลาวาทับไว้ ก็เลยเป็นสถานที่แสดงท่าหนีตายของชาวเมืองไปเพราะวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยง แข็งเป็นหินคงสภาพเกือบทุกประการ รวมถึงความหวาดกลัวต่อความตายที่ยังตราติดอยู่บนดวงหน้า บางซากนั่งเอามือปิดหน้า บางซากซบอยู่กับกำแพง ปอมเปอีจึงได้อีกชื่อว่า "ซากเมืองแห่งความตาย" ปัจจุบันเมืองโบราณปอมเปอีได้รับการฟื้นฟู องค์การยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997
อันดับ 4 คุก และหอคอยลอนดอน (Tower of London)
(Tower

หอคอย ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประเทศอังกฤษ สถานที่เกิดเหตุแห่งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ยาวนานกว่า 900 ปี นองเลือด ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เคยเป็นป้อมปราการ, ปราสาทราชวัง, คุก แดนประหาร เป็นสถานที่ตัดหัวของแอนน์ โบลีน พระสนมในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่ทุกวันนี้วันดีคืนดียังมีคนเห็นแอนน์ โบลีนถือหัวและร้องครวญอย่างทรมาน ไม่รวมกับอีกหลายวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในหอคอยแห่งนี้ซึ่งมักจะส่งเสียง ร้องขอชีวิต หรือเสียงลากโซ่ตรวนให้ผู้คนได้ยินและปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ จึงทำให้ที่นี่ยังคงโด่งดังเรื่องความหลอนตลอดกาล ปัจจุบันหอคอย ลอนดอนเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารและหอคอยหลายหลัง ที่เก็บเครื่องมือทรมานและเครื่องมือประหารนักโทษแบบโหดๆ ของยุคกลาง และมีอีกาดำด้วย ดูแล้วก็น่ากลัวจริงๆแหละ
อันดับ 3 ปราสาทของวลาด ดารคู ทรานซิลวาเนีย โรมาเนีย
(ปราสาทของวลาด

ปราสาท ที่เป็นแหล่งที่มาของนิยายผีดูดเลือด แดรกคิวล่า ที่ว่าน่ากลัวคือเจ้าชายจอมเสียบ วลาด ดารคูลา ผู้เป็นเจ้าของปราสาท แกชอบเอาจับเอาเหล่าเชลยมาเสียบด้วยไม้แหลมจากก้น จนทะลุขึ้นไปซีกบน แล้วก็เอามานั่งเรียงรายกันไปในบริเวณกว้างๆ เช่นกำแพงเมือง หรือ สนามหญ้าใหญ่ๆ วันไหนครึ้มอกครึ้มใจ เขาก็จะนั่งดินเนอร์ดูการประหารด้วยวิธีนี้เสียตรงนั้นเลย .....อืมอร่อย ส่วนปราสาท ปัจจุบันยังอยู่ครับ แต่...........มันทำไมอยู่สูงจัง ใครจะไปก็อดทนหน่อยล่ะ ปีนขึ้นไปดูเอง (ล้อเล่น เขาทำบันไดให้ปีนแล้วจ้า)
อันดับ 2 อัลคาแทรซ, ซานฟรานซิสโก (Alcatraz)
(Alcatraz))

นี่ คือคุกที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกา อัลคาแทรซ (Alcatraz) สถานที่คุมขัง อัลคาโปน เจ้าพ่อชื่อดัง และภายในคุกสยอง วังเวงจริงๆ และได้ฉายาว่าเดอะร็อกเป็นคุกที่ไม่มีใครแหกสำเร็จ ถึงแม้จะมีนักโทษพยายามใช้ของชิ้นเล็กๆ ตัดซี่กรงเหล็กและแอบว่ายน้ำหนีออกไป แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเขามีชีวิตรอดไปได้ นักโทษหลายคนตายในห้องขังที่นี่ ส่วนหนึ่งตายเพราะบาดแผลติดเชื้อ และนี่เองเป็นที่มาของเสียงประหลาดมากมาย เช่น เสียงตัดเหล็ก เสียงปิดประตูห้องขัง เสียงหวีดร้องจากใต้ดิน และความรู้สึกถูกจ้องมอง ปัจจุบันคุกนี้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว สามารถค้างคืนได้ด้วยนะจะบอกให้
อันดับ 1 อนุสรณ์สถานแห่งคิลลิ่ง ฟิลด์ (Killing Field)
(Killing
ใคร จะว่าไงไม่รู้ แต่ผมยกให้สถานที่นี้คือสุดยอดที่สุดแล้ว เพราะมันอยู่ใกล้บ้านเรา กัมพูชาเองจ้า เลิกซะทีเถอะข้ามพรมแดนไปเล่นการพนัน หันมารู้ประวัติศาสตร์ที่แสนโหดร้ายกันบ้างกับ โดยสถานที่นี้เป็นอนุสรณ์รำลึกความโหดร้ายในยุคเขมรแดงที่นำโดยเฮียพอลพต ที่สั่งฆ่าชาวเขมรนับล้าน ศพมากมายนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นกะโหลกไร้ญาติ(ไม่สามารถระบุได้ว่าคนตายเป็นใคร) ได้ถูกนำมารวมไว้ที่นี้ และมีรูปผู้ตายที่นับล้านให้ดูไว้ให้สงสาร คืนดีคืนดีบางคืนอาจได้ยินเสียงกะโหลกร้องระงม ฟังแล้วได้บรรยากาศมาก อีกที่ก็ ตุล สาเลช คุกเถื่อนซึ่งในอดีตเป็นโรงเรียนมัธยม ที่นั้นมีคนมาถูกฆ่าไม่เว้นวันและบางรายถูกนำมาทรมานเยี่ยงสัตว์ ก่อนตายอย่างสยอง

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผีในห้องเรียน


เรื่องนี้เป็น เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เมื่อสักสองปีที่แล้วครับ อาจจะจำรายละเอียดไม่ได้มากนัก คือ ไปช่วยงานกีฬาสีโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนะครับ คือเค้าให้ผมไปช่วยพ่นแผ่นplateกองเชียร์ สูง2เมตร กว้างประมาณ4เมตรได้ ตัวผมสูง 150 เอง ก็ทำๆๆ ทั้งหมดนี่คนเดียวเลยเริ่มทำตอน 10โมงเช้า กว่าจะเสร็จก็ปาไป6โมงเย็นแล้ว

ทีนี้ก็มีพวกพี่สต๊าฟสี แล้วก็รุ่นพี่โรงเรียนนี้ที่จบไปแล้วที่เค้าเข้ามาเล่นบาสก็มาทักทายพี่ๆพวก นี้ (เหลือแต่ผู้ชายนะครับ พวกพี่ๆ ร.ร. นี้ อยู่ม.6 มีผม มาช่วยเค้า อยู่คนละโรงเรียน แถมยังอยู่ แค่ม.4)เค้าก็มานั่งคุยกันตลกโปกฮาไปเรื่อยตามประสา จนเข้ามาถึงเรื่องผี เค้าก็บอกผม

"น้องอยู่โรงเรียน xxx ใช่ป่ะ ไม่รู้ค่อยรู้เรื่องผีที่นี่อ่ะดิ" ผมก็พยักหน้ารับ

"เห้ย งั้นพวกมืงมาด้วยกันดีกว่า พาน้องเค้าทัวร์หน่อย เดี๋ยวจะรู้จักแค่สนามบาส"

พี่ เค้าพาผมเดินทะลุตึกๆนึง แล้วก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าตึกๆนึง ผมก็อธิบายไม่ค่อยถูกหรอกครับ ดูตามรูปข้างล่างแล้วกันนะครับ ทีนี้ก็มาเล่าเบาะๆเกี่ยวกับที่แห่งนี้ บ้างก็ว่าเคยเป็นจุดที่เรือมาล่มบ่อยๆ (สมัยก่อนแถบโรงเรียนผม และโรงเรียนนี้ เป็นทะเลทั้งหมด) บางก็ว่าเคยมีคนฆ่าตัวตายในโรงเรียน

แล้ว ก็มาอยู่ตรงจุดยืนคุยจุดแรก คือวงกลมแดงๆในแผนที่น่ะครับ พี่แกเล่าว่า บริเวณซุ้มศาลาที่สวนตรงหน้านั้น เคยมีเด็กม.ต้นโดดเรียนจับกลุ่มเล่นผีถ้วยแก้วกันก็รู้สึกว่าแก้วมันเลื่อน ผิดปรกติ ก็มีเด็กคนนึงนึกว่าเพื่อนแกล้ง เลยบอก เห้ย เล่นงี๊ไม่เล่นดีกว่า ไม่ตื่นเต้นเลย ก็เลยเอามือออกจากแก้ว พอออกปุ๊ป หน้ามืดเลยครับ คนอื่นๆในวง ก็แตกฮือเลยทีนี้

มีเงาคนน่ะ ขี่คอเด็กคนนั้นอยู่ครับ เพื่อนๆก็ตามอาจารย์มาช่วย เอาพระมาคล้อง เด็กคนนี้หมดสติต้องนำส่งโรงพยาบาล ในเวลาต่อมาก็มีประกาศจากทางโรงเรียน ห้ามเล่นผีถ้วยแก้ว ห้ามท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็นทุกชนิด ผมฟังไปก็ขนลุกไป เพราะสถานที่เกิดเหตุนั้นอยู่ตรงหน้าผมนั่นเอง

สักพักพี่เค้าก็ชี้ไปที่ห้องๆนึง อยู่ตึกสีฟ้า ที่ติดกับตึกสีดำในแผนที่น่ะครับ บอกเลยว่าเป็นห้องเลขตอง เป็นแล็ปเคมี พี่คนนี้เจอมากับตัวครับ

เย็นวันนึงพี่เค้าก็เล่นบาส กลับก็เย็นแล้ว สี่ห้าโมง ก็ยังมีแดดอยู่นะครับ คนก็ยังพลุกพล่านอยู่ พี่เค้าก็กลับไปเอามอเตอร์ไซค์ที่จอดรถครู เอามาแอบจอดแหละครับสายตาพี่แกก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึง ยืนเอาหน้านาบกระจกอยู่ ผมยาว หน้าตาเป็นยังไงพี่แกไม่ได้อธิบาย แต่ที่แปลกคือ

บริเวณหน้าโรงเรียนหันออกทะเลครับ หันออกทะเลของจังหวัดผม = ทิศตะวันตก ดูแผนที่ดีๆสิครับ ห้องนี้มีหน้าต่างอยู่ด้านข้างด้วย แสงที่สาดกระทบมาต้องเป็นแบบซิลูเอท ใช่ไหมครับ คือวัตถุจะมืด ฉากหลังจะสว่าง แต่ไม่ใช่ครับ

หน้าคน?ที่ เห็นนั้นน่ะ สว่างครับ สุกใส มองมาที่พี่เค้า พี่เค้าก็จ้องกลับอยู่ 5นาทีได้ แล้วก็ค่อยๆจาง จาง จาง. . .จางหายไปแสงก็ทะลุ พรึ่บ! กลับมา เหมือนปกติ เท่านั้นแหละครับ พี่แกรีบบึ่งรถกลับบ้านทันที

ขนลุกกันสักพัก พี่แกพาผมขึ้นตึกสีเทา แล้วก็ผ่านทาง ทะลุมาตึกที่พี่แกเจอผีนี่ะครับ ลืมไป เพื่อนผมมาเพิ่มอีกคนครับ รด. ที่มาชุมนุมอะไรกันไม่รู้ เพิ่งเลิกพอดี ก็เลยมาร่วมแจมตอนก่อนจะขึ้นตึกน่ะครับ มันชื่อ ไอ้แวน

ก็ไต่บันไดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ พี่แกก็มาหยุดที่หน้าห้องน้ำห้องนึกในตึกเทา แกก็เล่าอีก

" เห้ยพี่เคยเจอนะเว้ย เข้าไปถ่ายในห้องน้ำ(ห้องน้ำชาย มีน้อยมาก)แล้วพี่เห็นเท้าผู้หญิง ม.ปลาย แว้บๆเข้ามาในห้องน้ำ พี่ก็ว่ามันเข้ามาทำอะไรกันแน่เลย พอเข้เสร็จ แทบจะทันทีนั้นแหละ จะมาดูหน้าหน่อยเผื่อรู้จัก รู้มั้ยอะไร? ห้องน้ำอ่ะมีพี่อยู่คนเดียวหว่ะ"

ผม ก็เดินๆมาถึงห้องเลขตอง ริมสุด พี่แกก็ลองบิดๆลูกบิดประตูดู แล้วก็เปิดไม่ออก ก็เลยไปห้องข้างๆ เป็นห้องเก็บเด็กดองครับ พี่แกก็บิดๆอยู่สองสามที ประตูก็เปิดผลุงออกมา แนวหลัง 5-6คนก็เหวอแล้วครับ ไปอยู่กันที่ตีนบันได พร้อมกับ ผลักผม กะไอ้แวน ไปหาพี่ที่จับลูกบิดประตูค้างไว้

ไฟมือถือรุ่น 2100จะสว่างกว่ารุ่นจอขาวดำทั่วไปอยู่เล็กน้อยน่ะครับ ผมตอนนี้ที่อยู่หน้าห้องกับไอ้แวน ก้าวเข้าไปในห้อง 3ก้าว ไฟมือถือในมือสาดซ้าย-ขวา เก้าอี้ถูกคว่ำไว้บนโต๊ะ... ยกเว้น เก้าอี้ในสุด ติดตู้
ปรากฎเป็นเงาของผู้ชายใส่ชุดคล้ายชุดนักเรียนไว้ผมยาว แต่มันเป็นเงาดำมืดมาก นั่งบนโต๊ะ เอาแขนเท้าขาเก้าอี้ที่คว่ำอยู่

ผมถามแวน "มืงเห็นแบบที่กูเห็นไหม"

มันพยักหน้ายิก

ไอ้พี่คนที่เปิดประตูห้องมา วิ่งอย่างไวไปที่ตีนบันได

ส่วนผม ทั้งอ้วน ทั้งเตี้ย ปิดประตูค่อยๆแล้วเดินตาม... เดินครับ ตามพวกพี่นั้นไป

พอถึงบันไดเท่านั้นแหละ ผมโดดพรวด แทบจะแซงพี่ๆพวกนั้น ลงไปอยู่หน้าตึกสีเทาในแผนที่ทันทีทันใด

พี่คนนั้นก็หัวเราะในลำคอ "เป็นไง สนุกมั้ย"

"เออ พี่ วิ่งก่อนผมอีกนะ"

ยังไม่จบหรอกครับ พี่แกพาเดินผ่านตึกไม้ ตึกสีน้ำตาลแหละครับ เป็นตึกแรกของโรงเรียนที่สร้าง แน่นอน มีอาถรรพ์

แล้วตึก ก็เฉือกเปิดอีก แกพาเดินขึ้นตึกมา พร้อมเล่าว่า

"เนี่ย ตึกเนี้ย มีคนเห็นผอ.เก่าที่ตายไป มาเดินเทียวไปเทียวมาตอนตะวันยังไม่ลับเลยนะ ส่วนมากจะเห็นสะท้อนในกระจกตู้ถ้วยรางวัลอ่ะ"

พี่แกพูดจบ พอดีกับถึงตู้ถ้วยรางวัลนั่นพอดี

ไอ้แวนครับ สั่นงกๆๆ มาจับที่ตัวผม ผมก็เฉยๆไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไหร่

"ไม่มีอะไรแล้ว กลับดีกว่า" พี่แกบอก

แล้วก็มายืนคุยกันตรงวงกลมสีน้ำเงินในแผนที่ ก่อนกลับแวนมันก็บอกพวกพี่ๆว่า

ตอนอยู่ ตึกไม้ ที่เดินผ่านหน้าห้องกระจก ขนมันลุกซู่เลย แถวยังหนาวอีก แต่พอมันจับตัวผม มันหายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังรู้สึกอุ่นในกายอีก มันก็ถามมืงใส่พระอะไรหรือเปล่า

ผมก็เอาให้มันดู รู้สึกจะขุนแผน พลายกุมารนะครับ ผมก็ไม่แน่ใจ ผมมีพระขุนแผนอยู่ 3องค์ ขุนแผนพลายกุมาร
(ทำหายที่รีสอร์ทตอนไปเชียงใหม่) ขุนแผนวัดไผ่ล้อม แล้วก็พระขุนแผนดินเผาซึ่งทำตกแตกไปนานแล้ว(ตอนนี้ไม่ทราบว่าอยู่ไหน พ่อคงเอาไปไว้วัดให้แล้ว)

รายการบล็อกของฉัน