ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความเชื่อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความเชื่อ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ความเชื่อของคนไทยโบราณเชื่อ “แมวดำคือแมวดี แมวอัปรีย์คือแมวขาว”

ความเชื่อของคนไทยโบราณเชื่อ “แมวดำคือแมวดี แมวอัปรีย์คือแมวขาว”

แมวดำกับแมวขาว จะดีจะร้าย มันแล้วแต่ละความเชื่อของเชื้อชาติศาสนาและประเทศต่างๆๆที่มีความเชื่อแตกต่างกันไปเกี่ยวกับแมว

แต่วันนี้เราจะมานำเสนอเรื่องความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับแมวดำเขาว่าเป็นแมวดีส่วนแมวอัปรีย์จังไรคือแมวขาวจะเป็นอย่างไรเรามาดูรายละเอียดกันเลยนะครับ

😺ภาพของแมวดำจากสมุดข่อยไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน และผู้วาดภาพ รวมถึงวันที่ที่ทำการบันทึก แต่คาดว่าน่าจะเป็นตำราที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุด British Library

คนที่ชอบแมวมาก ขอให้เป็นแมวไม่ว่าจะสีอะไรก็ชอบหมด แต่ตอนเด็กๆ ผู้เขียนมักถูกผู้ใหญ่ทักไม่ให้ไปยุ่งกับ “แมวดำ” โดยอ้างว่า แมวดำคือ “แมวผี” ซึ่งมีอำนาจชั่วร้ายที่สามารถทำให้คนตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาได้ หากว่ามันได้ไปกระโดดข้ามโลงศพของใครเข้า ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่กลับกัน ซากศพที่ถูกแมวดำกระโดดข้ามจะกลายเป็นผีร้ายที่มาพร้อมความอาฆาตพยาบาท

ถึงตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็อดสงสัยไม่ได้ว่า คนเฒ่าคนแก่เหล่านั้นเขาเชื่อกันอย่างนั้นจริงๆ หรือแค่ต้องการขู่ไม่ให้เด็กไปยุ่งกับแมวเพราะกลัวว่าจะกลายมาเป็นภาระของตัวเองหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ในหลายวัฒนธรรม แมวดำเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ทำให้แมวดำจรจัดเป็นแมวที่หาผู้รับเลี้ยงได้ยาก (บางประเทศไม่ยอมให้สัตว์เลี้ยงออกเพ่นพ่านในที่สาธารณะจึงถูกจับมาขังจนกว่าจะหาผู้รับเลี้ยงได้

สำหรับอคติต่อแมวดำในตะวันตกส่วนใหญ่เชื่อกันว่า แมวดำเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายมักไปพัวพันกับแม่มดมนต์ดำทำให้ในช่วงยุคกลางแมวดำจึงถูกฆ่าทิ้งเป็นจำนวนมาก ในอินเดียเองก็มีทัศคติในเชิงลบต่อแมวดำเช่นกันว่า หากใครเจอแมวดำเดินตัดหน้าก็จะทำให้คนๆนั้นต้องเจอกับความโชคร้ายเนื่องจากสีดำเป็นสีของ “พระเสาร์” (Shani) ซึ่งมีอำนาจในทางบาปเคราะห์ (13 Superstitions We Indians Follow Blindly. The India Times)

😺ภาพของแมวขาวจากสมุดข่อยไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน และผู้วาดภาพ รวมถึงวันที่ที่ทำการบันทึก แต่คาดว่าน่าจะเป็นตำราที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุด British Library

ส่วนในเมืองไทยมีคนพยายามอธิบายว่า อคติต่อแมวดำของคนอินเดียนั้นน่าจะเกี่ยวโยงกับพระษัษฐีมากกว่า โดยอ้างว่า “แมวดำเป็นสัตว์ผี เป็นพาหนะของพระษัษฐี เทวีแห่งความตายของทารก หรือ ผีแม่ซื้อประจำตัวเด็กในวันที่ 6 ซึ่งพระษัษฐีเป็นเทวีที่มีอิทธิฤทธิ์”

“หากใครเห็นแมวดำที่ไหน มักต้องเห็นพระษัษฐีปรากฏกายที่นั่น และจะมีเด็กหรือคนตายที่นั่นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในงานศพจะระมัดระวังไม่ให้แมวมาถูกต้องศพ ด้วยเชื่อว่าจะเกิดมนทินกับศพนั้น ๆ ไปตลอด…ในคติความเชื่อของจีน ก็ถือกันว่าหากแมวข้ามศพผีนั้น จะฟื้นคืนชีพและกลายเป็นผีที่ดุร้ายมากซึ่งก็ไม่ต่างจากไทย”

☠️ข้อความข้างต้นมาจากบทความเรื่อง “ตำนาน ภูติ ผี ปีศาจ และ สิ่งแปลกประหลาด ตอนที่ 110 ความเชื่อ แมวดำ” จากเว็บไซต์ Dek-D และยังมีอีกหลายเว็บไซต์ที่กล่าวคล้ายๆ กัน ซึ่งผู้เขียนบอกตามตรงว่าไม่รู้จักเทพอินเดียองค์นี้ ส่วนความเชื่อของไทยเรื่องแมวดำข้ามศพที่ว่าเหมือนกับจีนนั้น คงเป็นเพราะไทยรับมาจากจีน

ที่ผู้เขียนเห็นเช่นนั้นเนื่องจากตามตำราโบราณของไทยว่าด้วยแมวลักษณะต่างๆ ระบุว่า แมว “ดำปลอดตลอดล้ำ” นั้น “เลี้ยงไว้จะดีเป็นเสรฐีมีทรัพย์หลาย” ขณะที่ “แมวขาวตาแดง” หากใครเลี้ยงไว้ “จักเกิดโกลี มักอัปปรีศรีเสาอยู่โรยรา อย่าเลี้ยงไว้บ่มีดี เอาไปเสียจงไกลตา”

ตำราดังกล่าวเป็นตำราซึ่งบันทึกบนสมุดข่อยในยุคศตวรรษที่ 19 (ค.ศ.1801-1900 หรือ พ.ศ. 2344-2443) หรือในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ จึงเป็นไปได้ว่า อคติต่อแมวดำของคนไทยน่าจะพัฒนาขึ้นในยุคหลังที่ไทยเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับนานาชาติมากขึ้นจึงได้อิทธิพลทางความเชื่อในลักษณะนี้มาจากทั้งจีน อินเดียและตะวันตก

ภาพของแมวขาวตาแดงจากสมุดข่อยไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน และผู้วาดภาพ รวมถึงวันที่ที่ทำการบันทึก แต่คาดว่าน่าจะเป็นตำราที่เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุด British Library

ความเชื่อเรื่องโชคลางถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่คงจะห้ามกันไม่ได้ อย่างไรก็ดี ในต่างประเทศเริ่มมีการรณรงค์ให้คนลดละอคติต่อแมวดำ โดยในอังกฤษกลุ่ม Cat Protection ได้ประกาศให้วันที่ 27 ตุลาคม เป็นวันแมวดำแห่งชาติเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อแมวดำ

ประวัติศาสตร์แม้ว่าแต่เดิมมาชาวบริเตนจะเชื่อกันว่าแมวดำถือเป็นแมวนำโชค (เหมือนคนไทยสมัยก่อน) แต่ดูเหมือนปัจจุบันแมวดำในบริเตนจะโชคไม่ดีนัก เห็นได้จากสถิติของราชสมาคมเพื่อการป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ (RSPCA) ที่พบว่าแมวไร้บ้านในความดูแลขององค์กรนับพันตัวกว่า 70 เปอร์เซนต์เป็นแมวดำ หรือดำปนขาว

“มันมีเหตุผลหลายอย่างเลย ทั้งด้วยเหตุที่แมวดำมันยากที่จะแยกแยะไม่เหมือนแมวที่มีลายเฉพาะตัว และสัตว์เลี้ยงสีดำก็เป็นพวกที่ถ่ายรูปไม่ขึ้นด้วย” RSPCA ระบุ ทั้งนี้จากรายงานของเทเลกราฟ

😺☠️สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเป็นแมวสีอะไรถ้าเรารักมันเลี้ยงมันไว้แล้วก็อย่าไปรังเกียจมันเลยแมวสีขาวหรือสีดำถ้าเลี้ยงแล้วมันซื่อสัตย์จับหนูได้เหมือนกันก็ไม่จำเป็นต้องไปแบ่งแยกว่าแมวสีไหนร้าย แมวสีไหนดีนะครับ..

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ความเชื่อของคนสมัยโบราณเกี่ยวกับนางตานี


ความเชื่อของคนสมัยโบราณเกี่ยวกับนางตานี

ค้นหา คนสมัยโบราณ มีความเชื่อเกี่ยวกับต้นกล้วยที่ค่อนข้างแตกต่างกันไป โดยที่มีคนกล่าวขานมากที่สุดก็คงจะเป็น "นางตานี" เป็นผีผู้หญิง เช่นเดียวกับนางตะเคียน นางตานีจะสิงสถิตอยู่ในต้นกล้วยตานี และต้องเป็นกล้วยตานีตายพราย (ต้นกล้วยตานีที่ออกปลีแล้วตาย)

นอกจากนี้แล้ว คนโบราณยังมีความเชื่อว่า นางตานี นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาสวยสด หมดจด งดงาม มีกลิ่นตัวหอม ไว้ผมยาว ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงอ่อนดุจตีนนกพิราบ ริมฝีปากมีสีเหมือนตำลึงสุก


แต่ถ้ากล้วยตานีมีลำต้นอวบ พรายนางตานีก็มีรูปทรงท้วม 

ถ้ามีลำต้นโปร่งเปลา พรายนางตานีก็มีรูปทรงฉลวยห่มสไบสีเขียว และนุ่งโจงกระเบนแบบหญิงโบราณชอบล่อชายไปลวนลาม เเละนางตานียังมีเเรงหึงหวงที่น่ากลัวอีกด้วย เพราะถ้าชายที่มีอะไรกับนางเเล้ว 

เมื่อไปมีผู้หญิงคนอื่นนางตานีก็จะตามไปหักคอชายผู้นั้นทันที ด้วยเเรงหึงหวงนั้มเอง

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

ความเชื่อกระจกเงาในบ้านแตก จะเกิดอะไรขึ้น


ความเชื่อ กระจกเงาในบ้านแตก จะเกิดอะไรขึ้น
เกี่ยวกับ ความเชื่อโบราณ คนสมัยก่อนจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ ที่ยึดเป็นเครื่องย้ำเตือนจิตใจ บางเรื่องเป็นสิ่งเตือนสติ บางเรื่องเป็นสิ่งพิศวง น่ากลัว คุณเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ กระจกเงา หรือไม่   มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ความเชื่อโบราณ กระจกเงาในบ้านแตก จะเกิดอะไรขึ้น 
มาดูกันนะ

โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับกระจกหลายอย่าง ได้แก่
1. ถ้ากระจกเงาในบ้านแตก คนในบ้านนั้นกำลังมีเคราะห์ถึงขั้นเลือดตกยางออก เพราะโบราณเชื่อกันว่ากระจกเงาที่เราใช้ส่องอยู่ทุกวันนี้ เปรียบเสมือนกับเงาหรือดวงวิญญาณของมนุษย์ เพราะเมื่อเวลาที่เราได้ส่องกระจก เราก็จะเห็นรูปร่างลักษณะหน้าตาของเรา ดังนั้นคนในสมัยโบราณจึงให้ความสำคัญ กับกระจกเงาเป็นอย่างมาก หาก วันใดเงาของท่านเเตกสลายไป ดวงวิญญาณของท่านก็จะลับไปด้วยเช่นกัน หากกระจกส่องเงาเเตกให้รีบเก็บกวาดให้สะอาด เเล้วนำไปทิ้งในที่มิดชิด เพราะกลัวว่าเด็กหรือใครต่อใคร ที่เดินผ่านมาจะเหยียบเอา เเละเกิดบาดเจ็บได้ หลังจากนั้น ก็ให้จุดธูปไหว้พระขอพร สิ่งศักดิ์สิทธ์ให้ช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย ในวันรุ่งขึ้นก็ให้ตักบาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสีย และให้รีบซื้อบานใหม่มาทดแทน

2. หากเมื่อใดก็ตามที่ท่านยืนส่องกระจกในบ้านเพื่อดูเงาหรือความเรียบร้อยของ ตัวเอง และปรากฏว่าอยู่ๆ เงาในกระจกของท่านก็หายไป (เรื่องนี้ไม่ธรรมดา) ถือว่าเป็นลางไม่ดี อาจมีอันตรายถึงชีวิต ให้รีบไปทำการสะเดาะเคราะห์ ตักบาตรทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสีย เผื่อว่ากรรมหนักจะได้กลายเป็นเบา สถานการณ์นี้หากเกิดขึ้นจริง คงหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้แน่ๆ เป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่หยอก

3. หากเมื่อใดก็ตามที่ระจกในบ้านเเตก หรือ ร้าว โบราณว่าไม่ให้เก็บกระจก หรือเศษกระจกไว้ในบ้าน ให้นำไปทิ้ง เพราะเชื่อว่า กระจกที่เเตกหรือร้าว เป็นลางร้ายเกี่ยวกับคนในครอบครัวอาจทำให้คนในครอบครัวมีการทะเลาะเบาะเเว้ง กัน อยู่กันอย่างไม่เป็นสุข เเละอาจเกิดอันตรายจนถึงเลือดตกยางออกได้ เรื่อง นี้ลงความเห็นว่าแน่นอนเพราะมันจะทำให้บาดมือคนในบ้านได้แน่ๆ หากซุ่มซ่ามไปโดนมันเข้า ถึงจะไม่เชื่อโบราณก็ไม่สมควรเก็บไว้ในบ้านจริงๆ นั่นแหละ

4. ไม่ควรตั้งกระจกให้ตรงกับปลายเตียงนอน เพราะคนในสมัยโบราณ เชื่อเรื่องพิธีกรรมเกี่ยวกับกระจกว่า มันสามารถสะท้อนภาพคนที่ตายไปเเล้ว ออกมาจากกระจก ดังนั้นผู้ที่นอนอยู่บนเตียงจึงมักจะนอนฝันร้าย เเละมักจะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีเงาของใครบางคนคอยจ้อง มองอยู่ตลอดเวลา หาก มองในแง่ของจิตวิทยาแล้ว การวางกระจกเอาไว้ปลายเตียงก็ไม่ควรกระทำ เพราะมันคงทำให้รู้สึกแปลกๆ อาจมีแสงสะท้อนเข้าตาทำให้นอนไม่หลับ หรืออาจจะทำให้เรารู้สึกระแวง เพราะทุกครั้งที่เราขยับตัว ในกระจกก็จะมีภาพเคลื่อนไหวไปด้วย อีกอย่างก็คงไม่มีใครอยากเห็นตัวเองตอนนอนหัวฟูนักหรอก มันน่ากลัว…

……. อ่านแล้ว เป็นไงบ้าง รู้สึกขนลุกนิด ๆ นะ นี่เป็นสิ่งที่คนโบราณเค้าเตือน และ เล่าต่อ ๆ กันมา หากไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ เป็นดีที่สุด

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

Boogeyman


บูกี้ แมน Boogeyman
Boogeyman?หรือบูกี้แมน มาหลายชื่อเพราะมันปรากฏตัวทั่วโลก เช่นboeman (เดนมาร์ก), buse (นอร์เวย์), b?can,?p?ca, pooka or pookha (Irish Gaelic), pwca, bwga or bwgan (เวลล์), puki (Old Norse), pixie or piskie (Cornish), puck (อังกฤษ), bogu (Slavonic, buka Russian)?

เป็นผีหรือปีศาจ มีความโหดร้านเลือดเย็น โบกีย์แมนไม่มีตัวตนจริงๆ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างต่างๆ ได้ และสามารถผ่านเข้าไปได้ทุกๆ ที่ บางที่อาจเป็นเพียงธุรี ปลิวเข้าทางช่องหน้าต่างหรือรูกุญแจ บางทีอาจเป็นเงารางๆ แต่มันสามารถฆ่าคนได้ มีความเชื่อว่า พวกฆาตกรต่อเนื่องหรือซีเรียล คิลเลอร์ที่ก่อคดีฆาตกรรมมากมายนั้นคือ โบกีย์แมนนั้นเอง โบกีย์แมนยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่จะเอาไว้
หลอกเด็กๆ ให้เกิดความกลัวเวลาเล่นซน

โบกีย์แมนนั่นมาจากเรื่องจริง ในแถบเกาะชวาหรือมาเลเซีย ซึ่งชาวอังกฤษเข้ามายึดครองพื้นที่แถบนี้ โดยโบกีย์แมนนั้นมาจาก บูกีส(Bugis) ที่เป็นโจรสลัดในแถบนั้น มีความโหดร้าย ปล้นฆ่านักเดินทางอยู่ในย่านนั้น สร้างความหวาดกลัวเป็นอันมาก จนมีคำขู่กับลูกเรือที่นอกลู่นอกทางกันว่า ?เดี๋ยวบูกิสจะมาเอาชีวิต? จนกระทั้งความหวาดกลัวที่มีต่อบูกิสติดตามมายังอังกฤษ

รายการบล็อกของฉัน