ลูกบอลแม่มดแห่งเมมฟิสที่หนัก 1300 กิโล แต่ขยับได้เองมานานกว่าร้อยปี
น่าเสียดายที่ลูกบอลแม่มดแห่งเมมฟิสไม่ได้มาอยู่ที่ประเทศไทยไม่อย่างงั้นคนไทยถือโอกาสได้มาขอเลขขอหวยกันเออ
ในแต่ละหมู่บ้านหรือชุมชนต่างก็มีเรื่องราวลึกลับที่ถูกเล่าขานบอกต่อกันมามากมายและแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ แต่น้อยครั้งที่ตำนานลึกลับเหล่านั้นจะมีหลักฐานที่ประจักษ์ต่อสายตาของผู้คนในปัจจุบัน ซึ่งวันนี้เพชรมายาจะพาทุกท่านไปรู้จักกับหนึ่งในเรื่องราวลึกลับที่เกิดขึ้นในประเทศอเมริกา ที่ฟังดูน่าสนใจแต่กลับไม่เป็นที่ถูกพูดถึงมากเท่าไหร่
พื้นที่ทางตอนใต้ของเมืองเมมฟิส รัฐมิชิแกน เป็นที่ตั้งของ ‘สุสานเมมฟิส’ และทางมุมหนึ่งด้านหลังสุสานเป็นสถานที่ฝังศพของครอบครัวมิลเลอร์
ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดก็คือ ‘ลูกบอลหินอ่อน’ ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแท่นหินแกรนิต มันคืออนุสาวรีย์ที่ถูกสร้างขึ้นให้กับ อีไล มิลเลอร์ ที่เสียชีวิตไปในปี 1903
ความลึกลับของลูกบอลหินอ่อนนี้ก็คือ มันสามารถเคลื่อนที่ได้เองมาตั้งแต่ปี 1903 ถึงแม้ว่ามันจะมีน้ำหนักมากราว 2,800 ถึง 3,000 ปอนด์ (ราว 1,270 ถึง 1,360 กิโลกรัม) ก็ตาม
ลักษณะการเคลื่อนที่ของมันคือ การ ‘ขยับ’ หมุนอยู่บนแท่นหินแกรนิต ซึ่งหากสังเกตดี ๆ เราจะพบว่า ลูกบอลหินลูกนี้จะมีร่องรอยวงกลมที่ไม่ได้ถูกเคลือบเงาเอาไว้ ซึ่งเป็นจุดที่เคยอยู่บริเวณฐาน
แต่ในปัจจุบัน รอยวงกลมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ลูกบอลลูกนี้ค่อย ๆ ขยับเลื่อนขึ้นมาทีละนิดอย่างเป็นปริศนา และมันเกิดขึ้นมานานกว่า 100 ปีแล้ว จนชาวบ้านต่างตั้งชื่อให้อนุสาวรีย์แห่งนี้ว่า “ลูกบอลแม่มด” (Witch’s Ball)
ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงว่าลูกบอลแม่มดที่หนักมากกว่า 1 ตันขยับได้อย่างไร บางคนสันนิษฐานว่ามันอาจเกิดจากการละลายของน้ำแข็งที่เคยเกาะบริเวณฐานของลูกบอล บางคนก็ว่าอาจมีคนมือบอนมาขยับมัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลูกบอลหินอ่อนลูกนี้มีน้ำหนักมากเกินกว่าที่ใครจะสามารถขยับมันด้วยมือเปล่าได้
บางคนเชื่อว่าลูกบอลหินอ่อนนี้มีพลังลึกลับ เนื่องจากมีเรื่องเล่าของผู้คนที่พยายามมองเข้าไปในลูกบอลหิน และพบว่าเงาใครบางคนปรากฎขึ้นพร้อมกับเงาของคุณ และบางคนก็กล่าวว่าพวกเขาเห็นเงาที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่เงาของพวกเขาเอง
นอกจากนั้น ยังมีชาวบ้านที่บอกว่าพวกเขาได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่มาจากป่าหลังสุสาน หรือแม้แต่วิญญาณที่ปรากฎตัวอยู่ในบริเวณนี้อีกด้วย
เรื่องราวความลึกลับของลูกบอลแม่มดแห่งสุสานเมมฟิสเคยถูกบันทึกอยู่ในหนังสือ Ripley’s Believe It Or Not ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความลึกลับที่เกิดขึ้นและยังหาบทสรุปไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
