ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มัมมี่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มัมมี่ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565

การใช้ชีวิตร่วมกับคนตาย


อันนา มาเรีย นิเยโต (ซ้าย) และเปาลา ปิเมนเทล (ขวา) ตื่นเต้นที่ยูเนสโกเล็งเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมชาวชินชอร์โร
การใช้ชีวิตร่วมกับคนตาย
การค้นพบมัมมี่หลายร้อยร่างในเมืองอาริกาและจุดอื่น ๆ ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้คนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับร่างผู้วายชนม์เหล่านี้ และบ่อยครั้งเป็นการอาศัยอยู่เหนือสุสานที่ใช้ฝังมัมมี่

ชาวบ้านเหล่านี้รุ่นแล้วรุ่นเล่าคุ้นเคยกับการพบเจอร่างมนุษย์โดยบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการก่อสร้าง หรือแม้แต่การที่สุนัขของพวกเขาไปขุดคุ้ยเจอชิ้นส่วนของมัมมี่เข้า โดยที่พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของศพมนุษย์ที่พบเจออยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน

ยานินนา แคมโปส นักโบราณคดี กล่าวว่า "บางครั้งชาวบ้านจะเล่าให้เราฟังเรื่องที่ลูก ๆ ของพวกเขาเคยเอาหัวกะโหลกที่พบมาใช้เป็นลูกบอล หรือไม่ก็ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างมัมมี่ แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าจะต้องแจ้งให้เราทราบเวลาที่พบเจออะไรบางอย่าง แล้วไม่เข้าไปยุ่งกับมัน"

คนท้องถิ่นอย่าง อันนา มาเรีย นิเยโต และเปาลา ปิเมนเทล ต่างรู้สึกตื่นเต้นที่องค์การยูเนสโกเล็งเห็นถึงความสำคัญของวัฒนธรรมชาวชินชอร์โร


สตรีทั้งสองเป็นผู้นำกลุ่มชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งโบราณคดีที่พบมัมมี่ และทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยตาราปากา ซึ่งอยู่ใกล้เคียง เพื่อช่วยให้คนในชุมชนได้เข้าใจถึงความสำคัญของวัฒนธรรมชินชอร์โร และทำให้แน่ใจว่าแหล่งโบราณคดีเหล่านี้จะได้รับการดูแล

พวกเขามีแผนการสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นในชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้ชมร่างมัมมี่นอนเรียงรายอยู่เบื้องล่างกระจกที่เสริมความแข็งแกร่งอย่างใกล้ชิด และจะมีการฝึกฝนชาวบ้านให้เป็นมัคคุเทศก์คอยให้ความรู้เกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขาแก่ผู้มาเยือน

ปัจจุบันมีการค้นพบมัมมี่ชินชอร์โรกว่า 300 ร่าง และในจำนวนนี้เพียงส่วนน้อยได้ถูกนำมาจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ชม โดยส่วนใหญ่ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีซานมิเกล เด อาซาปา ของมหาวิทยาลัยตาราปากา ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอาริกาโดยการเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 30 นาที

แม้จะมีแผนการสร้างพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่กว่าเพื่อให้เก็บรักษามัมมี่ได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีความต้องการเงินสนับสนุนเพิ่ม เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถเก็บรักษามัมมี่ไว้ได้อย่างถูกต้องและรักษาสภาพไว้ให้ได้มากที่สุด

ศาสตราจารย์ อาร์เรียซา และยานินนา แคมโปส นักโบราณคดี ต่างเชื่อว่าเมืองอาริกาและบริเวณเนินเขาโดยรอบยังคงมีขุมทรัพย์ทางโบราณคดีอยู่อีกมากที่ยังไม่ถูกค้นพบ แต่ก็จำเป็นต้องได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับใช้ในการสำรวจและขุดค้น

เจอร์รารโด เอสปินโดลา โรยาส นายกเทศมนตรีเมืองอาริกา หวังว่าการที่มัมมี่ของเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว และดึงดูดเม็ดเงินเข้ามามากขึ้น

นายกเทศมนตรีเมืองอาริกาอยากให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวชม "ขุมทรัพย์ทางโบราณคดี" ในเมือง

อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักดีว่า การพัฒนาจะต้องทำอย่างถูกทาง โดยร่วมมือกับชาวบ้าน เพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่กับคนในชุมชน และคุ้มครองแหล่งโบราณคดีในพื้นที่

เขาอธิบายเอกลักษณ์เฉพาะของแหล่งโบราณคดีที่นี่ว่าแตกต่างจากในหลายที่ เช่น กรุงโรมซึ่งมักตั้งอยู่ในเขตที่เป็นอนุสรณ์สถาน แต่สำหรับเมืองอาริกา ชาวบ้านต่างอาศัยและใช้ชีวิตอยู่บนหลุมศพมัมมี่ "เราจึงจำเป็นต้องคุ้มครองมัมมี่เหล่านี้"

นายเอสปินโดลา บอกว่า ปัจจุบันมีกฎหมายผังเมือง และมีนักโบราณคดีไปสำรวจพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อให้แน่ใจว่าขุมทรัพย์ทางโบราณคดีจะไม่ถูกรบกวนจนได้รับความเสียหาย

ขณะที่ อันนา มาเรีย นิเยโต ผู้นำกลุ่มชาวบ้านก็หวังว่าการที่มัมมี่ชินชอร์โรกลายเป็นที่รู้จักในระดับโลกจะส่งผลดีต่อคนในชุมชน

"ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนเป็นมิตร พวกเราอยากให้นักท่องเที่ยวและนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกมาเยือน เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอันน่าทึ่งของชาวชินชอร์โร ซึ่งพวกเราได้อยู่ร่วมกันมาทั้งชีวิต"


วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564

Anatoly Moskvin ชายผู้แอบขุดศพเด็ก 29 คนมาทำเป็นตุ๊กตาและอาศัยอยู่ด้วย


Anatoly Moskvin คือนักข่าว 
นักโบราณคดี และนักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซีย อย่างไรก็ตามเรื่องที่ทำให้เขาโดยดัง กลับไม่ใช่งานวิจัยใดๆ แต่เป็นการที่เขามักแอบไปขุดศพเด็กมาทำเป็นตุ๊กตาต่างหาก

Moskvin เล่าว่างานอดิเรกสุดแปลกของเขามีจุดเริ่มต้นขึ้นจาเหตุการณ์ในวัยเด็กซึ่งเขาถูกบังคับให้จูบกับศพ และค้นพบตัวเองว่าเขาหลงรักในร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวศพนั้นเหลือเกิน

ตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็มักจะเดินทางไปเที่ยวเล่นตามสุสาน ก่อนที่เมื่อ
โตขึ้นเขาจะใช้ประโยชน์จากการเป็นนักโบราณคดีในการแอบขุดศพมาเก็บไว้ จนกระทั่งในอพาร์ตเมนต์ของเขามีมัมมี่เด็กสาวที่เป็นศพถูกเก็บไว้ถึง 29 ร่าง

อ้างอิงจากรายงานของตำรวจ มัมมี่ของเด็กผู้หญิงที่พบในบ้านของ Moskvin มีอายุตั้งแต่ 3-25 ปี และอยู่ในสภาพที่ถูกตกแต่งดูแลอย่างดี จนแม้แต่ครอบครัวและคนใกล้ชิดของเขา ก็คิดว่ามัมมี่เหล่านั้นเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาเลย

Moskvin ถูกจับตัวในปี 2011 หลังจากที่คนในเมืองเริ่มสงสัยกันว่า
ศพที่ฝังไว้หายไปไหน โดยเขาบอกว่าตัวเองนั้นไม่ได้ฆ่าใครและแค่ไปขุดศพมาเก็บไว้เท่านั้น และให้เหตุผลของการกระทำของตัวเองว่า

“พวกคุณ (พ่อแม่ของเด็กที่โดนขโมยศพ) ทิ้งลูกๆ ไปแล้ว ผมก็แค่เอาพวกเธอกลับบ้านมาให้ความอบอุ่นให้ความรักเท่านั้นเอง

ที่มา : allthatsinteresting

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Anatoly Moskvin ชายผู้แอบขุดศพเด็ก 29 คนมาทำเป็นตุ๊กตาและอาศัยอยู่ด้วย


Anatoly Moskvin คือนักข่าว นักโบราณคดี และนักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซีย อย่างไรก็ตามเรื่องที่ทำให้เขาโดยดัง กลับไม่ใช่งานวิจัยใดๆ แต่เป็นการที่เขามักแอบไปขุดศพเด็กมาทำเป็นตุ๊กตาต่างหาก

Moskvin เล่าว่างานอดิเรกสุดแปลกของเขามีจุดเริ่มต้นขึ้นจากเหตุการณ์ในวัยเด็กซึ่งเขาถูกบังคับให้จูบกับศพ และค้นพบตัวเองว่าเขาหลงรักในร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวเหลือเกิน

ตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็มักจะเดินทางไปเที่ยวเล่นตามสุสาน ก่อนที่เมื่อโตขึ้นเขาจะใช้ประโยชน์จากการเป็นนักโบราณคดีในการแอบขุดศพมาเก็บไว้ จนกระทั่งในอะพาร์ตเมนต์ของเขามีมัมมี่เด็กสาวถูกเก็บไว้ถึง 29 ร่าง

อ้างอิงจากรายงานของตำรวจ มัมมี่ของเด็กผู้หญิงที่พบในบ้านของ Moskvin มีอายุตั้งแต่ 3-25 ปี และอยู่ในสภาพที่ถูกตกแต่งดูแลอย่างดี จนแม้แต่ครอบครัวและคนใกล้ชิดของเขา ก็คิดว่ามัมมี่เหล่านั้นเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาเลย

Moskvin ถูกจับตัวในปี 2011 หลังจากที่คนในเมืองเริ่มสงสัยกันว่าศพที่ฝังไว้หายไปไหน โดยเขาบอกว่าตัวเองนั้นไม่ได้ฆ่าใครและแค่ไปขุดศพมาเก็บไว้เท่านั้น และให้เหตุผลของการกระทำของตัวเองว่า

“พวกคุณ (พ่อแม่ของเด็กที่โดนขโมยศพ) ทิ้งลูกๆ ไปแล้ว ผมก็แค่เอาพวกเธอกลับบ้านมาให้ความอบอุ่นเท่านั้นเอง

ที่มา : allthatsinteresting

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มัมมี่ปริศนาแห่งธิเบต

มัมมี่ปริศนาแห่งธิเบต


ในปี ค.ศ.1975 (หรือ พ.ศ.2518 สามสิบปีก่อนนี้เอง)
ณ หุบผาสปิติแห่งทิเบต อันเป็นพรมแดนระหว่างจีนกับอินเดีย ได้เกิดแผ่นดินถล่ม เจ้าหน้าที่อินเดียสองคนได้เข้าไปซ่อมแซมทางที่เสียหาย และบนเขาสูงลิ่วจากพื้นดินถึง 4,000 เมตรนั้น เขาก็ได้พบร่างของมัมมี่ชาวทิเบตฝังอยู่ เป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์ในลักษณะนั่งสมาธิ ใกล้กันนั้นมีม้วนคัมภีร์โบราณอยู่ด้วย หากทว่าผุพังเปื่อยสลายก่อนที่จะทันได้เอาไปศึกษา ข้อมูลอันน่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลจึงสูญสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย
มัมมี่ร่างนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่ หมู่บ้านทาโบ ซึ่งเป็นชุมชนโบราณมานานนับพันปี และโดดเดี่ยวห่างไกลความเจริญ วิถี ชีวิตของผู้คนเปลี่ยน แปลงไปจากเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะมีก็เพียงโบสถ์ใหม่หลังเล็กที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อนำร่างมัมมี่มาไว้บูชา เพราะพวกเขาถือว่าการที่ร่างมัมมี่นี้ ไม่ผุพังไปตามกาลเวลา ก็ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของร่างมัมมี่นี้ก็ตาม
ความลึกลับของมัมมี่ทิเบตนี้ ทำให้นักโบราณคดี วิกเตอร์ แมร์ สนใจใคร่ศึกษา เขาจึงรวบรวมทีมงานราว 10 คนขึ้น และขออนุญาตทางการอินเดียเข้าไปดำเนินการ สำรวจร่างมัมมี่นี้อย่างละเอียด ซึ่งอินเดียก็โอเค แต่ให้เวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง! ทั้งนี้เพราะเป็นบริเวณที่ต่อเนื่องกับเขตจีน ซึ่งมีกรณีพิพาทกันเนืองๆ

😂ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้องปฏิบัติการอย่างรวบรัดสุดๆ
พวกเขาเดินทางระหกระเหินไต่เขาอันสูงลิ่ว ผ่านชะง่อนผาต่างๆซึ่งมีรอยเจาะเป็นถํ้า สำหรับภิกษุทิเบตใช้พำนักเรียกกันว่า ภูผาแห่งวิหาร กระทั่งในที่สุดก็ถึงหมู่บ้านทาโบ ทีมงานไม่รอช้า ขอเข้าพบหลวงพ่อสมภารผู้ดูแลโบสถ์ ซึ่งเก็บรักษามัมมี่ และจากการซักถาม ก็พบว่าท่านรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมัมมี่น้อยมาก

ดังนั้น วิกเตอร์จึงขออนุญาตศึกษาสภาพของมัมมี่กันเลย
จากการชันสูตรเบื้องต้น มัมมี่ร่างนี้ก็คล้ายกับมัมมี่อียิปต์ คือมีวิธี การทำโดยควักเอาอวัยวะภายใน เช่น ลำไส้ออก แล้วยัดเกลือหรือยางไม้ไว้แทนที่ ซึ่งก็มีพระทิเบตองค์สำคัญๆ ได้รับการเก็บรักษาศพไว้ด้วย วิธีนี้ บางองค์ถึงกับแช่ลงในอ่างที่มีเนยเหลว โดยเฉพาะองค์ดาไล ลามะ นั้น กล่าวกันว่ามัมมี่ของท่านมีการปิดทองด้วย

วัตถุประสงค์ของการทำมัมมี่ ก็ด้วยเหตุที่ถือกันว่า ลามะศักดิ์สูงนั้น ร่างของท่านศักดิ์สิทธิ์ การบูชาร่างของท่านย่อมนำมา ซึ่ง
สวัสดิมงคลนั่นเอง
ถัดมาเป็นการสำรวจสภาพ ภายนอกของศพ พวกเขาพบว่าผิวหนังมีร่องรอย เสียหายหลายแห่ง และมีรากับ ตะไคร่ขึ้นเป็นคราบ ดวงตาข้างหนึ่งยังมีลูกตา ซึ่งหดเล็กอยู่ภายในเบ้า ส่วนดวงตาอีกข้างหนึ่งนั้น หนังตาหรี่ปิดครึ่งหนึ่ง และยังมีขนตาติดอยู่ ซึ่งนับเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง

อย่างไรก็ดี ไม่พบว่ามีการใช้สารเคมี ในการรักษาสภาพศพแต่อย่างใด และนี่เองที่ทำให้การชำรุด เสียหายไม่เท่ากันตลอดร่าง กระนั้นก็ยังจัดว่าสภาพศพส่วนใหญ่ดีมาก เนื้อและขนยังอยู่ครบที่รอบคอของมัมมี่และใต้ต้นขา ปรากฏวัตถุคล้ายแถบผ้าคล้องอยู่ มีร่องรอยถูกมอดแทะ ปัญหามีว่าแถบผ้านี้
ใช้ใน วัตถุประสงค์อันใด? เกี่ยวข้องกับการตายของเขาหรือไม่ เพราะถ้าหากร่างนี้เหยียดขาออกไป มันจะรัดคอเขาแน่น

ด้วยเหตุที่มีเวลาจำกัดมาก ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้อง ใช้วิธีเก็บตัวอย่าง ที่จำเป็นจากร่างมัมมี่ เช่น เส้นผม แล้วนำกลับไปวิเคราะห์ ในห้องแล็บในเมือง

จากนั้น พวกเขาได้พยายามหาความหมาย ของสภาพศพที่อยู่ในลักษณะนั่งตัวงอ
ซึ่งไม่น่าจะสบายนัก การนั่งนานๆในลักษณะนี้จะทำให้ กระดูกสันหลังโค้ง และอาจเป็นสาเหตุของการตาย เขาคงจะนั่งสมาธิติดต่อกันนานมาก และแต่ละชั่วโมงก็ได้พรํ่าท่องมนต์ในพุทธศาสนา เพื่อจะไปให้ถึงพระนิพพาน?

หรือว่าพระองค์นี้ได้ฝึกท่าโยคะ โดยอาศัยแถบผ้าเหนี่ยวรั้งร่างกายไว้ให้ดำรงอยู่
ในลักษณะดังกล่าวได้?
ถ้ากระนั้นท่านอาจเป็นฤษี?
ภายในเวลาเพียงหกชั่วโมง
วิกเตอร์กับทีมงานของเขาเก็บ รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆไว้ อย่างรวดเร็ว แล้วลงจากหมู่บ้านทาโบ จากนั้นก็แยกย้ายกันนำข้อมูลไปวิเคราะห์
มาร์กาเร็ต ค็อกซ์ นำเส้นผมของมัมมี่เดินทางไปกว่า 6,000 ไมล์ ยังมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แล้วเอาเส้นผมนั้นเข้าเครื่อง เรดิโอคาร์บอน เพื่อหาอายุของมัมมี่ทันที

ตัวอย่างเส้นผมหนักเพียง 8 มิลลิกรัม ถูกเผาในตู้อบ มันปล่อยรังสีไอโซโทป ของคาร์บอนและไนโตรเจน ออกมาในรูปแก๊ส อัตราส่วนระหว่างสองธาตุนี้ จะชี้ให้เห็นถึงโภชนาการของมัมมี่ตนนี้ และจากการที่เส้นผมนี้งอกขึ้นมาในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของชีวิต มันพิสูจน์ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของร่าง ได้อดอาหารในช่วงเวลาก่อนสิ้นชีพนานไม่น้อยกว่า 3 เดือน

ภายในห้องแล็บ เถ้าจากเส้นผมถูกนำมายิงด้วยอนุภาคที่มีพลังงานสูง ทำให้อะตอมแตกตัวและพุ่งออกมาด้วยความเร็ว 50 ล้านไมล์ ต่อชั่วโมง มันพุ่งไปในแนวที่ควบคุมด้วยสนามแม่เหล็ก และแยกอะตอมของคาร์บอน 14 ออกมา สายอะตอมนี้จะผ่านเครื่องนับอะตอมแล้วปรากฏ ตัวเลขบนจอ ผลที่ได้คือ
มัมมี่ตนนี้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1475 หรือ 529 ปีมาแล้ว! ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา

งานถัดมาคือการวิเคราะห์หาสาเหตุการตายของเจ้าของร่างมัมมี่

งานนี้ทำให้วิกเตอร์ แมร์ ต้องบินไปญี่ปุ่นเพื่อหาข้อมูล เกี่ยวกับมัมมี่ญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า บูกาอิ ซึ่งอยู่ในลักษณะนั่งงอคล้ายกัน กับมัมมี่ทิเบต และมีสภาพสมบูรณ์ มีราขึ้นบริเวณคางและกราม แสดงถึงว่าไม่มีการใช้น้ำมันเชลแล็ก ในการรักษาสภาพ ไม่มีการใช้ สารเคมีช่วย ในการดองศพแต่อย่างใด

ถ้ากระนั้น มัมมี่บูกาอิคงสภาพมัมมี่ได้ อย่างไร?
พระภิกษุท้องถิ่นประจำวัด อธิบายให้วิก-เตอร์ฟังว่า ภิกษุมัมมี่เริ่มการอดอาหารนาน 3 ปี โดยฉันแต่เปลือกไม้และถั่ว จากนั้นจึงได้เข้าไปทำสมาธิอยู่ในหีบไม้นานถึง 60 วัน เมื่อเปิดหีบออกก็พบว่าท่านได้กลายสภาพเป็นมัมมี่ไปแล้ว

ทีมนักวิทยาศาสตร์ทำการทดสอบพลังประหลาดของการข้าสมาธิ
เป็นการทำมัมมี่ด้วยตนเอง!
จากการอดอาหารอันยาวนานของบูกาอิประกอบกับการทำสมาธิ ทำให้เกิดพลังจิตอันแรงกล้า อวัยวะและกล้ามเนื้อจะค่อยๆหดตัวลง จุลินทรีย์ในลำไส้ถูกทำลายไป เมื่อไม่มีแบคทีเรียเหลืออยู่ เนื้อหนังของศพจึงไม่ถูกกัดกิน และคงสภาพไว้ได้ แต่อายุของมัมมี่บูกาอินั้นเพียงแค่ 100 กว่าปี

เป็นไปได้ไหมว่า มัมมี่ทิเบตเกิดขึ้นจากวิธีการนี้เช่นกัน
เพื่อค้นหาความจริงให้ประจักษ์ วิกเตอร์ เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านทาโบ ณ ที่นี้เป็นวัดของภิกษุมัมมี่ทิเบต วิกเตอร์เดินก้าวตามรอยเท้าที่ท่านเคยเหยียบย่ำ เพื่อหาข้อมูลได้อย่างใกล้ชิด หลังจากที่ได้สืบเสาะกับผู้คนท้องถิ่นแล้ววิกเตอร์ ก็สันนิษฐานสรุปได้ว่า

ภิกษุมัมมี่ได้อุปสมบทเมื่ออายุราว 18 ครั้นแล้วก็ได้เกิดทุพภิกขภัย ชาวบ้านอดอยากไม่มีอะไรกิน ท่านจึงตัดสินใจสละชีพเพื่อ ช่วยเหลือชาวบ้าน ด้วยการเปลี่ยนร่างของท่าน ให้เป็นมัมมี่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับ ผู้คนกราบไหว้บูชา เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ที่กำลังถดถอยลง และพลังอำนาจจากบารมีครั้งนี้ อาจดลบันดาล ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้ ท่านจึงเริ่มทำสมาธิกำหนด ลมหายใจเข้าออก ในการนี้ท่านได้นำเอาแถบผ้า มาคล้องคอและโยงไว้ใต้น่อง เมื่อเหยียดน่องออก ผ้าก็จะรัดคอทีละนิด เพื่อลดปริมาณออกซิเจนที่หายใจเข้า ไป การอดอาหาร และลดออกซิเจนจะทำให้ ขบวนการเมตาบอลิซึ่มของร่างกายลดลง การใช้พลังงานในร่างกายก็จะมีเพียงน้อยนิด ร่างกายจะอยู่ในสภาพสงบนิ่ง เป็นการทำ สมาธิที่ลึกล้ำ จวบจนกระทั่งท่านได้หยุดการหายใจไปอย่างสิ้นเชิง

การเสียสละชีพของท่านจัดเป็นกุศลกรรมอันสูง
ทว่า ท่านก็มิได้ปฏิบัติอย่างโดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียวหรอก วิกเตอร์ได้ค้นพบข้อ เท็จจริงอีกว่า ในอดีตนั้นมีมัมมี่ทิเบตจำนวนนับร้อยปรากฏอยู่ทั่วบริเวณขุนเขาหิมาลัย แต่ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ได้มีคำสั่งจากทางการให้ทำลายมัมมี่ทุกตนที่ค้นพบ ชนทิเบตเกรงว่าร่างมัมมี่อันศักดิ์สิทธิ์จะหมดสิ้นสูญไป จึงมีการทำสมาธิและอดอาหาร เพื่อสร้างมัมมี่ด้วยตนเองเกิดขึ้นเป็นอันมาก ซึ่งก็โดนทำลายไปจนแทบหมดสิ้นอีกเช่นเคย ยกเว้นแต่มัมมี่ที่ทาโบที่ยังคงอยู่ได้ เพราะเหตุว่าอยู่ ในเขตชายแดนของอินเดียนั่นเอง

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การพันห่อมัมมี่

การพันห่อมัมมี่ 
ขั้นตอนที่ 1. ศีรษะและลำคอจะถูกพันก่อน ด้วยแถบผ้าลินินอย่างดี แล้วก็จะพันนิ้วมือและนิ้วเท้าแยกกันทีละนิ้ว แล้วก็พันห่อแขนและขา แต่ละทบก็จะใส่เครื่องราง เพื่อปกปักรักษาผู้ตายในระหว่างการเดินทางไปสู่ภพใหม่
ขั้นตอนที่ 2. 
ในขณะที่ร่างของมัมมี่กำลังถูกห่อพันด้วยผ้าลินิน ก็จะมีพระท่องมนต์ เพื่อขจัดสิ่งที่เลวร้ายมิให้แผ้วพานผู้ตาย และเป็นการช่วยให้ผู้ตายเดินทางได้สะดวกในภพหน้า
ขั้นตอนที่ 3. 
แล้วแขนขามัมมี่ก็จะถูกพันเข้ากับส่วนร่าง ตำรา "มนตราสำหรับผู้ตาย" 
ก็จะรวมห่อไปด้วยให้ถือไว้ในมือของมัมมี่
ขั้นตอนที่ 4. 
จากนั้นก็จะพันผ้าเพิ่มรวมให้ร่างถูกพันรวมกันหมด แต่ละชั้นของผ้าลินิน ผู้ทำมัมมี่ก็จะทาไว้ด้วยเรซิน เพื่อให้ผ้าลินินยึดติดกันไม่หลุดรุ่ยออกได้ง่าย 

แล้วห่อด้วยผ้าผืนใหญ่อีกทีหนึ่ง จากนั้นก็จะวาดรูปเทพ โอซีรีส บนผ้าที่ห่อมัมมี่นั้น
ขั้นตอนที่ 5. 
จากนั้นก็เอาผ้าผ้นใหญ่ห่ออีกชั้นหนึ่ง แล้วมัดตราสังข์ด้วยแถบผ้าลินินตลอดร่างอย่างแน่นหนาอีกเป็นครั้งสุดท้าย
จากนั้นก็ปิดด้านบนของมัมมี่ด้วยแผ่นกระดานก่อนที่จะเอาไปใส่ในโลงศพสองโลงซ้อนกัน

มัมมี่อียิปต์

มัมมี่อียิปต์
มัมมี่ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีคือมัมมี่อียิปต์โบราณ แต่ในรูปเป็นมัมมี่ที่เกิดจากสภาพอากาศอันร้อนและแห้งแล้ง เป็นมัมมี่ที่อยู่ในยุคสมัยก่อนที่มีการปกครองโดยฟาโรห์

ซึ่งในสมัยนั้นชาวอียิปต์ยังไม่รู้จักวิธีการทำมัมมี่ค่ะ สุสานของเขาเป็นแบบเรียบง่ายค่ะ โดยขุดหลุมให้ลึกลงไป แล้วนำเอาศพมาวาง นำเอาสมบัติของผู้ตายเช่นลูกปัด โถใส่อาหาร วางไว้รอบๆร่างของผู้ตาย ศพนั้นไม่ได้มีการนำเสื้อผ้ามาใส่ให้ และไม่มีการนำทรายมากลบร่างผู้ตายด้วย

ต่อมาเป็นยุคที่อียิปต์รู้จักวิธีการทำมัมมี่แล้วค่ะ แต่ขอไม่บรรยาย ถึงวิธีใน การทำมัมมี่เพราะในเว็บนี้ได้มีผู้เขียนไว้แล้วแต่จำ ไม่ได้ว่าอยู่ในกระทู้ไหนและท่านใดเป็นเป็นผู้เขียน(พิมพ์) (ในรูปคือมัมมี่ของเซติที่1พระองค์เก่งกาจทางด้านการรบเป็นอย่างมากและ พระองค์ก็ยังส่งเสริมและให้มีการพัฒนาทางด้านศิลปะ จนถือว่า เป็นยุคที่ศิลปะมีความงดงามสูงสุดอีกยุคหนึ่งด้วย)

มัมมี่ฟาโรห์เซติที่2
มัมมี่ของ(TUTMOSIS ที่1)ถ้าใช่นะค่ะเพราะยังเป็นมัมมี่ที่นักโบราณคดีถกเถียงกันอยู่เนื่อง จากพระศพมือไปวางอยู่ในท่าของสามัญชน(แขนสองข้างแนบลำตัว)และผลของการเอ็กซเรย์มัมมี่นี้ก็ตายตอนอายุ 20 ปี ซึ่งไม่ตรงกับประวัติการรบที่โชกโชนของพระองค์

TUTMOSIS ที่ 3 พระองค์เชี่ยวชาญทางด้านการรบเป็นอย่างมากจนได้รับฉายาว่า "นโปเลียนแห่งอียิปต์"เป็นมัมมี่รายแรกที่ได้ปรากฎโฉมต่อหน้าสาธารณะชน
 
TUTMOSIS ที่ 4 คู่แก่งแย่งบัลลังค์ของฮัทเซพซุท

รามเสสที่ 1รามเสสที่2 ถือว่าเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอียิปต์

รามเสสที่ 3 เป็นมัมมี่ฟาโรห์พระองค์แรกที่มีการทำตาปลอม และเปลี่ยนท่านอนโดยเอามือสองข้างวางไขว้ไว้ที่หน้าอกและแบมือออก ถือเป็นฟาโรห์ผู้ทรงอำนาจของอียิปต์องค์สุดท้าย

รามเสสที่ 4TIYIเสด็จย่าของฟาโรห์ตุตันคามุน

ฟาโรห์ตุตันคามุนฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 17 ฟาโรห์เซเคเนนเร สิ้นพระชนม์จากการออกรบ

อเมนโฮเทปที่ 2 เป็นฟาโรห์ที่โชคดีเพียงพระองค์ที่ไม่ต้องคอยถูกย้ายพระศพหนีจากพวกโจรขโมยสุสาน
 
TUTMOSISที่2 เป็นหนึ่งในกษัตริย์นักรบผู้เก่งกล้าของอียิปต์แต่ถูกกลบรัศมีจากราชินีของพระองค์เองคือราชินีฮัทเซพซุท

มัมมี่ฟาโรห์รามเสสที่ 6 พระศพถูกขวานจามเสียหายด้วยน้ำมือโจรปล้นสุสานพิเนดเจมที่1
ราชินีเฮเนทโทวีย์ พระชายาของฟาโรห์พิเนดเจมที่ 1 ในยุคนี้ถือว่าศิลปะในการมัมมี่มีการพัฒนาถึงขีดสุด มีการพัฒนาเพิ่มเติมจากการทำมัมมี่แบบเดิม โดยมีการใส่สารผสมของไขมันและโซดาเพื่อสร้างความมีน้ำมีนวลให้แก่ผิวหนัง และมีการยัดเศษผ้าเข้าไปเพื่อให้ผิวหนังเต่งตึง
ฟาโรห์ซิพทาห์ การทำมัมมี่ในยุคของพระองค์ก็มีการพัฒนาการเป็นอย่างมากเช่นกัน เพราะส่วนแก้มของฟาโรห์องค์นี้มีการยัดผ้าลินินลงไปเพื่อให้แก้มเต่งตึง

และเป็นฟาโรห์พระองค์แรกที่มีรอยเย็บแผลที่เรียบร้อย แผลถูกปิดสนิทค่ะ ตอนมีชีวิตพระองค์ป่วยเป็นโรคโปลิโอและทรงทุกข์ทรมานด้วยโรคนี้จนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ

มัมมี่ชาชาโปยา(Chachapoya)


มัมมี่ต่อไปนี้เกิดจากการตั้งใจที่จะรักษาสภาพศพของมนุษย์ค่ะ เป็นมัมมี่ของชนเผ่าชาชาโปยา(Chachapoya)ซึ่งอยู่ในประเทศเปรู ชนเผ่านี้อยู่มาจนถึง ค.ศ.1470 จึงถูกชาวอินคารุกรานและเข้าครอบครองจนสูญสิ้นไปจากโลก

ขอกล่าวถึงสุสานของเขาก่อนค่ะสุสานของชาวชาชาโปยา ซึ่งเรียกว่า
ชัลปาส์(Chullpas) ถูกสร้างอยู่บนชะง่อนผา มีลักษณะเป็นเรือนแถวยาว หน้ากว้าง 150 ฟุต ลึก 15 ฟุต และสูง 10 ฟุต แบ่งเป็น 6คูหา ตัวเรือนก่อด้วยหินปูนสกัดเป็นก้อนวางเรียงกันไป และประสานกันไว้ด้วยโคลนจากดินเหนียว ผนังบางคูหาฉาบทับด้วยปูนขาว ด้านหลังเป็นหน้าผา หลังคานั้นมุงด้วยปีกไม้หนาถากหยาบๆวางเรียงชิดกัน ภายในคูหาท่อนไม้ถูกวางเรียงยกเป็นพื้นขึ้นเพื่อวางมัมมี่ ช่องหน้าต่างทุกช่องจะหันออกสู่ทะเลสาบ ในรูปคือมัมมี่หล่นทะลักออกมาจากสุสานเรือนแถว เนื่องจากถูกชาวบ้านมารื้อค้นหาสมบัติ

มัมมี่ของชาวชาชาโปยากระทำโดยการอาบน้ำยา อวัยวะภายในช่องท้องก็ถูกควักออกมาจนหมดป้องกันการเน่าเปื่อย ผิวหนังก็ผ่านกรรมวิธีบางอย่างที่ทำให้คล้ายหนังฟอก บริเวณใบหน้าก็นำฝ้าย ยัดเข้าไปในปากและรูจมก เพื่อมิให้รูปหน้ายุบลง มัมมี่ของชาวชาชาโปยา จะถูกห่อไว้และมีด้ายปักเป็นรูปหน้าคร่าวๆ

มัมมี่ของชาวชาชาโปยากระทำโดยการอาบน้ำยา อวัยวะภายในช่องท้องก็ถูกควักออกมาจนหมดป้องกันการเน่าเปื่อย ผิวหนังก็ผ่านกรรมวิธีบางอย่างที่ทำให้คล้ายหนังฟอก บริเวณใบหน้าก็นำฝ้าย ยัดเข้าไปในปากและรูจมก เพื่อมิให้รูปหน้ายุบลง มัมมี่ของชาวชาชาโปยา จะถูกห่อไว้และมีด้ายปักเป็นรูปหน้าคร่าวๆ

มัมมี่ชาวอินคา


คราวนี้มาถึงมัมมี่ของชาวอินคา ได้มีการค้นพบมัมมี่ของชาวอินคาเป็นสุสานอยู่บนยอดเขาในประเทศเปรู ยอดเขานี้มีชื่อว่า เนวาโด แอมปาโต (Nevado Ampato) มีความสูง20,700 ฟิต เป็นภูเขาไฟซึ่งดับแล้วสุสานของชาวอินคาจริงๆนั้น เป็นหลุมตื้นๆที่ฝังมัมมี่เด็กสาวชาวอินคา อายุราว 15 ปี ตัวหลุมเป็นรูปทรงกลม ตัวมัมมี่ถูกฝัง อยู่ในท่านั่งกลางหลุมแคบๆ ใกล้กับมัมมี่พบเปลือกหอย กระดูกลามา ถุงใส่เสื้อผ้า 2 ถุง และภาชนะดินเผา ที่มีทั้งเมล็ดข้าวโพดและซังของมัน (การสำรวจครั้งนี้พบ มัมมี่หลายศพ และเป็นเด็กสาว อายุประมาณ 15 ปี)

ลืมบอกนี่ก็เป็นมัมมี่จากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะ บางส่วนของพื้นที่นี้ก็เป็นน้ำแข็งจน ทำให้คณะสำรวจ ทำงานกันค่อนข้างลำบาก จากการตรวจสอบมัมมี่และดูจากสภาพสิ่งของบริเวณที่พบมัมมี่ทำให้รู้ว่าเธอถูกนำมาบูชายัญ ในรูปเป็นการนำมัมมี่มา ตรวจทางวิทยาศาสตร์ ที่รอควิลล์ รัฐแมรี่แลนด์

มัมมี่ชาวอินคา พบโดยคณะสำรวจชาวสหรัฐอเมริกา มัมมี่นี้มีอายุประมาณ 500 ปี ร่างของมัมมี่นี้ถูกค้นพบที่ภูเขา ซาร่า ซาร่า(Sara Sara)ซึ่งเป็นมัมมี่ที่เกิดจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ตอนที่พบร่างมัมมี่นี้แข็งเป็นน้ำแข็งเลยค่ะ เป็นมัมมี่ของสตรีซึ่งเรียกกันว่า ซาริต้า(Sarita) จากการตรวจสอบมัมมี่ซาริต้านั้นจึงพบว่าเธอถูกนำมาบูชายัญเทพเจ้า(อีกแล้ว)ค่ะเพราะคนในสมัยนั้นถือว่าการที่คนในครอบครัวถูกนำมาบูชายัญถือว่าได้รับเกียรติสูงสุดแก่วงศ์ตระกูลของตนเลยทีเดียว ซาริต้าตอนตายเธออายุ 15 ปี เธอถูกของแข็งทุบที่ศรีษะจนถึงแก่ความตาย (ในรูปคือมัมมี่ของซาริต้า) ตัวอย่างสิ่งของที่พบใกล้ๆสุสานของมัมมี่ซาริต้า

มัมมี่ของชาวชินชอร์โรChinchorro


มัมมี่ของชาวชินชอร์โร(Chinchorro) ซึ่งพวกเขามีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 8,000-3,000 ปีที่แล้ว มัมมี่ถูกค้นพบที่แถวๆเมืองอริก้า(Arica)ประเทศชิลี นักโบราณคดีถือว่า ชาวชินชอร์โร่เป็นชนกลุ่มแรก ที่ทำมัมมี่เพื่อรักษาสภาพศพของคน ที่เขารักให้คงอยู่ตลอดไป 

กระบวนการทำมัมมี่
ของ ชาวชินชอร์โร่มี 2 แบบ
แบบ แรกเริ่มด้วย (จะบอกว่ามันสยองนิดนึงนะ) เขาจะนำศพมาตัดส่วนหัวออกก่อน จากนั้นก็เป็นขา และส่วนต่างๆของศพ นั้นจะถูกลอกหนังออกมาก่อน แล้วนำมาประกอบเข้ากับศพในตอนหลัง จากนั้นก็เริ่มทำการคว้านเอาอวัยวะภายในออกมาทั้งหมด ส่วนร่างที่เหลือจะถูกทำให้แห้งด้วยถ่านร้อนๆ ส่วนท่อนขาที่ถูกแยกออกมา จากศพจะถูกผ่าเพื่อนำเอากระดูกออกมา แล้วนำไปทำความสะอาดจากนั้นก็ตากให้แห้ง 


มาพูดถึงสมองบ้างดีกว่า สมองนั้นก็เอาออกมาจากกะโหลกทั้งหมด เมื่อทุกส่วนถูกทำ ความสะอาดหมดแล้วจึงนำมาต่อเข้าด้วยกัน โดยจะมีการเสริมแรงให้กับกระดูก ที่สอดเข้าไปที่เดิมอีกครั้งด้วยการผูกกระดูกเข้ากับไม้ ช่องว่างภายในร่างกายจะถูกอุดด้วยหญ้าแห้งและขี้เถ้า การประกอบส่วนต่างๆของมัมมี่จะนำ ส่วนทั้งหมดของร่างมาเรียงตามตำแหน่งเดิมและพอกด้วยขี้เถ้า เมื่อพอกทุกส่วนหมดแล้ว หนังที่ลอกไว้เมื่อช่วงแรกก็นำมาวางไว้ที่ตำแหน่งเดิม และต่อมาก็ทาร่างมัมมี่ด้วยสารสีดำที่ได้มาจากแร่แมงกานีส ส่วนใบหน้าจะถูกวาดขึ้นอย่างคร่าวๆ

มัมมี่ของชาวชินชอร์โร่แบบที่สอง จะไม่มีการแยกส่วนต่างๆของร่างออกมา เขาจะลอกหนังออกมากองตรงส่วนข้อเท้า(เหมือนม้วนถุงเท้าลงมาที่ข้อเท้าเก่งจริงๆไม่รู้ทำได้ยังไง) และจะใช้มีดเฉือนศพออกเป็นแนวยาวควักเอาอวัยวะภายในออกมา แล้วก็นำร่างไปทำให้แห้งด้วยถ่านร้อนๆ และก็ทำแบบวิธีแรกโดยเอาไม้มาช่วยค้ำยันร่างไว้เหมือนกัน
และเมื่ออุดช่องว่างของมัมมี่เรียบร้อยแล้วก็จะม้วนแผ่นหนังที่กองไว้ตรงข้อเท้ากับเข้าที่เดิม จากนั้นก็พอกด้วยขี้เถ้าและทาสารสีดำเช่นเดียวกับวิธีแรก เป็นอันเสร็จกับการทำมัมมี่แบบที่2 จะเห็นว่ามัมมี่ชินชอร์โร่ถูกแยกเป็นส่วนๆอย่างเห็นได้ชัด มัมมี่ชาวชินชอร์โร่ที่มีหน้ากากและมีการนำเส้นผมมาจัดวาง

มัมมี่คณะสำรวจ เซอร์จอห์น แฟรงคลิน


มัมมี่ต่อไปนี้เกิดจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น มัมมี่ที่พบเป็นลูกเรือของคณะสำรวจ เซอร์จอห์น แฟรงคลิน ซึ่งมุ่งหน้าที่จะไปสำรวจเส้นทางสู่มหาสมุทรแปซิฟิก มัมมี่มีอายุ140กว่าปีแล้ว นี่ก็เป็นมัมมี่ลูกเรือ อีกร่างหนึ่งที่ต้องนำชีวิตมา ทิ้งที่เกาะบีชี และการเดินเรือสำรวจเส้นทางในครั้งนี้ก็พบกับความล้มเหลวแม้แต่ เซอร์จอห์นผู้นำ คณะทีมสำรวจก็ต้องนำชีวิต ไปทิ้งที่เกาะคิงวิลเลี่ยมอีกด้วย ที่เกาะนี้ก็มีลูกเรือตายอีกหลายคนด้วย

สาเหตุการตายที่สำคัญของคณะสำรวจนี้คือ อาหารกระป๋อง เนื่องจากกระป๋องบรรจุอาหา รนี้ส่วนหัวท้าย ของกระป๋องถูกเชื่อมด้วย ดีบุกและตะกั่ว และตะกั่วเหล่านี้เองก็ไหลมาปนเปื้อนกับอาหารที่บรรจุอยู่ในกระป๋อง ซึ่งคณะสำรวจนี้กินอาหารกระป๋องที่ว่าเป็นเวลากว่า 2 ปี สารตะกั่วจึงเข้าไปสะสม อยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมาก

มีผลต่อ ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ จากการตรวจสอบกระดูกของลูกเรือชิ้นหนึ่งผลบ่งบอกว่ามีการกินกันเองด้วย

รายการบล็อกของฉัน