ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มัมมี่ปริศนาแห่งธิเบต

มัมมี่ปริศนาแห่งธิเบต


ในปี ค.ศ.1975 (หรือ พ.ศ.2518 สามสิบปีก่อนนี้เอง)
ณ หุบผาสปิติแห่งทิเบต อันเป็นพรมแดนระหว่างจีนกับอินเดีย ได้เกิดแผ่นดินถล่ม เจ้าหน้าที่อินเดียสองคนได้เข้าไปซ่อมแซมทางที่เสียหาย และบนเขาสูงลิ่วจากพื้นดินถึง 4,000 เมตรนั้น เขาก็ได้พบร่างของมัมมี่ชาวทิเบตฝังอยู่ เป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์ในลักษณะนั่งสมาธิ ใกล้กันนั้นมีม้วนคัมภีร์โบราณอยู่ด้วย หากทว่าผุพังเปื่อยสลายก่อนที่จะทันได้เอาไปศึกษา ข้อมูลอันน่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลจึงสูญสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย
มัมมี่ร่างนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่ หมู่บ้านทาโบ ซึ่งเป็นชุมชนโบราณมานานนับพันปี และโดดเดี่ยวห่างไกลความเจริญ วิถี ชีวิตของผู้คนเปลี่ยน แปลงไปจากเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะมีก็เพียงโบสถ์ใหม่หลังเล็กที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อนำร่างมัมมี่มาไว้บูชา เพราะพวกเขาถือว่าการที่ร่างมัมมี่นี้ ไม่ผุพังไปตามกาลเวลา ก็ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของร่างมัมมี่นี้ก็ตาม
ความลึกลับของมัมมี่ทิเบตนี้ ทำให้นักโบราณคดี วิกเตอร์ แมร์ สนใจใคร่ศึกษา เขาจึงรวบรวมทีมงานราว 10 คนขึ้น และขออนุญาตทางการอินเดียเข้าไปดำเนินการ สำรวจร่างมัมมี่นี้อย่างละเอียด ซึ่งอินเดียก็โอเค แต่ให้เวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง! ทั้งนี้เพราะเป็นบริเวณที่ต่อเนื่องกับเขตจีน ซึ่งมีกรณีพิพาทกันเนืองๆ

😂ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้องปฏิบัติการอย่างรวบรัดสุดๆ
พวกเขาเดินทางระหกระเหินไต่เขาอันสูงลิ่ว ผ่านชะง่อนผาต่างๆซึ่งมีรอยเจาะเป็นถํ้า สำหรับภิกษุทิเบตใช้พำนักเรียกกันว่า ภูผาแห่งวิหาร กระทั่งในที่สุดก็ถึงหมู่บ้านทาโบ ทีมงานไม่รอช้า ขอเข้าพบหลวงพ่อสมภารผู้ดูแลโบสถ์ ซึ่งเก็บรักษามัมมี่ และจากการซักถาม ก็พบว่าท่านรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมัมมี่น้อยมาก

ดังนั้น วิกเตอร์จึงขออนุญาตศึกษาสภาพของมัมมี่กันเลย
จากการชันสูตรเบื้องต้น มัมมี่ร่างนี้ก็คล้ายกับมัมมี่อียิปต์ คือมีวิธี การทำโดยควักเอาอวัยวะภายใน เช่น ลำไส้ออก แล้วยัดเกลือหรือยางไม้ไว้แทนที่ ซึ่งก็มีพระทิเบตองค์สำคัญๆ ได้รับการเก็บรักษาศพไว้ด้วย วิธีนี้ บางองค์ถึงกับแช่ลงในอ่างที่มีเนยเหลว โดยเฉพาะองค์ดาไล ลามะ นั้น กล่าวกันว่ามัมมี่ของท่านมีการปิดทองด้วย

วัตถุประสงค์ของการทำมัมมี่ ก็ด้วยเหตุที่ถือกันว่า ลามะศักดิ์สูงนั้น ร่างของท่านศักดิ์สิทธิ์ การบูชาร่างของท่านย่อมนำมา ซึ่ง
สวัสดิมงคลนั่นเอง
ถัดมาเป็นการสำรวจสภาพ ภายนอกของศพ พวกเขาพบว่าผิวหนังมีร่องรอย เสียหายหลายแห่ง และมีรากับ ตะไคร่ขึ้นเป็นคราบ ดวงตาข้างหนึ่งยังมีลูกตา ซึ่งหดเล็กอยู่ภายในเบ้า ส่วนดวงตาอีกข้างหนึ่งนั้น หนังตาหรี่ปิดครึ่งหนึ่ง และยังมีขนตาติดอยู่ ซึ่งนับเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง

อย่างไรก็ดี ไม่พบว่ามีการใช้สารเคมี ในการรักษาสภาพศพแต่อย่างใด และนี่เองที่ทำให้การชำรุด เสียหายไม่เท่ากันตลอดร่าง กระนั้นก็ยังจัดว่าสภาพศพส่วนใหญ่ดีมาก เนื้อและขนยังอยู่ครบที่รอบคอของมัมมี่และใต้ต้นขา ปรากฏวัตถุคล้ายแถบผ้าคล้องอยู่ มีร่องรอยถูกมอดแทะ ปัญหามีว่าแถบผ้านี้
ใช้ใน วัตถุประสงค์อันใด? เกี่ยวข้องกับการตายของเขาหรือไม่ เพราะถ้าหากร่างนี้เหยียดขาออกไป มันจะรัดคอเขาแน่น

ด้วยเหตุที่มีเวลาจำกัดมาก ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้อง ใช้วิธีเก็บตัวอย่าง ที่จำเป็นจากร่างมัมมี่ เช่น เส้นผม แล้วนำกลับไปวิเคราะห์ ในห้องแล็บในเมือง

จากนั้น พวกเขาได้พยายามหาความหมาย ของสภาพศพที่อยู่ในลักษณะนั่งตัวงอ
ซึ่งไม่น่าจะสบายนัก การนั่งนานๆในลักษณะนี้จะทำให้ กระดูกสันหลังโค้ง และอาจเป็นสาเหตุของการตาย เขาคงจะนั่งสมาธิติดต่อกันนานมาก และแต่ละชั่วโมงก็ได้พรํ่าท่องมนต์ในพุทธศาสนา เพื่อจะไปให้ถึงพระนิพพาน?

หรือว่าพระองค์นี้ได้ฝึกท่าโยคะ โดยอาศัยแถบผ้าเหนี่ยวรั้งร่างกายไว้ให้ดำรงอยู่
ในลักษณะดังกล่าวได้?
ถ้ากระนั้นท่านอาจเป็นฤษี?
ภายในเวลาเพียงหกชั่วโมง
วิกเตอร์กับทีมงานของเขาเก็บ รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆไว้ อย่างรวดเร็ว แล้วลงจากหมู่บ้านทาโบ จากนั้นก็แยกย้ายกันนำข้อมูลไปวิเคราะห์
มาร์กาเร็ต ค็อกซ์ นำเส้นผมของมัมมี่เดินทางไปกว่า 6,000 ไมล์ ยังมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แล้วเอาเส้นผมนั้นเข้าเครื่อง เรดิโอคาร์บอน เพื่อหาอายุของมัมมี่ทันที

ตัวอย่างเส้นผมหนักเพียง 8 มิลลิกรัม ถูกเผาในตู้อบ มันปล่อยรังสีไอโซโทป ของคาร์บอนและไนโตรเจน ออกมาในรูปแก๊ส อัตราส่วนระหว่างสองธาตุนี้ จะชี้ให้เห็นถึงโภชนาการของมัมมี่ตนนี้ และจากการที่เส้นผมนี้งอกขึ้นมาในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของชีวิต มันพิสูจน์ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของร่าง ได้อดอาหารในช่วงเวลาก่อนสิ้นชีพนานไม่น้อยกว่า 3 เดือน

ภายในห้องแล็บ เถ้าจากเส้นผมถูกนำมายิงด้วยอนุภาคที่มีพลังงานสูง ทำให้อะตอมแตกตัวและพุ่งออกมาด้วยความเร็ว 50 ล้านไมล์ ต่อชั่วโมง มันพุ่งไปในแนวที่ควบคุมด้วยสนามแม่เหล็ก และแยกอะตอมของคาร์บอน 14 ออกมา สายอะตอมนี้จะผ่านเครื่องนับอะตอมแล้วปรากฏ ตัวเลขบนจอ ผลที่ได้คือ
มัมมี่ตนนี้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1475 หรือ 529 ปีมาแล้ว! ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา

งานถัดมาคือการวิเคราะห์หาสาเหตุการตายของเจ้าของร่างมัมมี่

งานนี้ทำให้วิกเตอร์ แมร์ ต้องบินไปญี่ปุ่นเพื่อหาข้อมูล เกี่ยวกับมัมมี่ญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า บูกาอิ ซึ่งอยู่ในลักษณะนั่งงอคล้ายกัน กับมัมมี่ทิเบต และมีสภาพสมบูรณ์ มีราขึ้นบริเวณคางและกราม แสดงถึงว่าไม่มีการใช้น้ำมันเชลแล็ก ในการรักษาสภาพ ไม่มีการใช้ สารเคมีช่วย ในการดองศพแต่อย่างใด

ถ้ากระนั้น มัมมี่บูกาอิคงสภาพมัมมี่ได้ อย่างไร?
พระภิกษุท้องถิ่นประจำวัด อธิบายให้วิก-เตอร์ฟังว่า ภิกษุมัมมี่เริ่มการอดอาหารนาน 3 ปี โดยฉันแต่เปลือกไม้และถั่ว จากนั้นจึงได้เข้าไปทำสมาธิอยู่ในหีบไม้นานถึง 60 วัน เมื่อเปิดหีบออกก็พบว่าท่านได้กลายสภาพเป็นมัมมี่ไปแล้ว

ทีมนักวิทยาศาสตร์ทำการทดสอบพลังประหลาดของการข้าสมาธิ
เป็นการทำมัมมี่ด้วยตนเอง!
จากการอดอาหารอันยาวนานของบูกาอิประกอบกับการทำสมาธิ ทำให้เกิดพลังจิตอันแรงกล้า อวัยวะและกล้ามเนื้อจะค่อยๆหดตัวลง จุลินทรีย์ในลำไส้ถูกทำลายไป เมื่อไม่มีแบคทีเรียเหลืออยู่ เนื้อหนังของศพจึงไม่ถูกกัดกิน และคงสภาพไว้ได้ แต่อายุของมัมมี่บูกาอินั้นเพียงแค่ 100 กว่าปี

เป็นไปได้ไหมว่า มัมมี่ทิเบตเกิดขึ้นจากวิธีการนี้เช่นกัน
เพื่อค้นหาความจริงให้ประจักษ์ วิกเตอร์ เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านทาโบ ณ ที่นี้เป็นวัดของภิกษุมัมมี่ทิเบต วิกเตอร์เดินก้าวตามรอยเท้าที่ท่านเคยเหยียบย่ำ เพื่อหาข้อมูลได้อย่างใกล้ชิด หลังจากที่ได้สืบเสาะกับผู้คนท้องถิ่นแล้ววิกเตอร์ ก็สันนิษฐานสรุปได้ว่า

ภิกษุมัมมี่ได้อุปสมบทเมื่ออายุราว 18 ครั้นแล้วก็ได้เกิดทุพภิกขภัย ชาวบ้านอดอยากไม่มีอะไรกิน ท่านจึงตัดสินใจสละชีพเพื่อ ช่วยเหลือชาวบ้าน ด้วยการเปลี่ยนร่างของท่าน ให้เป็นมัมมี่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับ ผู้คนกราบไหว้บูชา เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ที่กำลังถดถอยลง และพลังอำนาจจากบารมีครั้งนี้ อาจดลบันดาล ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้ ท่านจึงเริ่มทำสมาธิกำหนด ลมหายใจเข้าออก ในการนี้ท่านได้นำเอาแถบผ้า มาคล้องคอและโยงไว้ใต้น่อง เมื่อเหยียดน่องออก ผ้าก็จะรัดคอทีละนิด เพื่อลดปริมาณออกซิเจนที่หายใจเข้า ไป การอดอาหาร และลดออกซิเจนจะทำให้ ขบวนการเมตาบอลิซึ่มของร่างกายลดลง การใช้พลังงานในร่างกายก็จะมีเพียงน้อยนิด ร่างกายจะอยู่ในสภาพสงบนิ่ง เป็นการทำ สมาธิที่ลึกล้ำ จวบจนกระทั่งท่านได้หยุดการหายใจไปอย่างสิ้นเชิง

การเสียสละชีพของท่านจัดเป็นกุศลกรรมอันสูง
ทว่า ท่านก็มิได้ปฏิบัติอย่างโดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียวหรอก วิกเตอร์ได้ค้นพบข้อ เท็จจริงอีกว่า ในอดีตนั้นมีมัมมี่ทิเบตจำนวนนับร้อยปรากฏอยู่ทั่วบริเวณขุนเขาหิมาลัย แต่ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ได้มีคำสั่งจากทางการให้ทำลายมัมมี่ทุกตนที่ค้นพบ ชนทิเบตเกรงว่าร่างมัมมี่อันศักดิ์สิทธิ์จะหมดสิ้นสูญไป จึงมีการทำสมาธิและอดอาหาร เพื่อสร้างมัมมี่ด้วยตนเองเกิดขึ้นเป็นอันมาก ซึ่งก็โดนทำลายไปจนแทบหมดสิ้นอีกเช่นเคย ยกเว้นแต่มัมมี่ที่ทาโบที่ยังคงอยู่ได้ เพราะเหตุว่าอยู่ ในเขตชายแดนของอินเดียนั่นเอง

รายการบล็อกของฉัน