ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผี-ความเชื่อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผี-ความเชื่อ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่อง ที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเดือนมิถุนายน

(เอาแบบโชว์เลย)

เรื่อง ที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานะครับ
ผมจะต้องขึ้นไป เชียงใหม่ คืองานที่ผมทำจะเป็นเกี่ยวกับร้านมินิมาร์ท ต้องดูตั้งแต่งานก่อสร้างจนถึงร้านเสร็จน่ะครับ ลักษณะของการทำงานคือ เราต้องไปหาทำเลดีๆเพื่อเช่าตึก เป็นตึกที่มาลัษณะเป็น2คูหา ตึกที่ผมไปเช่าตอนนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าประวัติความเป็นมาอย่างไร...หรือมีเรื่องเล่าลึกลับ อะไรหรือเปล่า แต่พอรู้คร่าวๆ ว่าตึกที่อยู่ทางด้านขวามือมันจะมีประวัตินะครับ ตอนนั้นเราไปเช่าทั้งหมด2ตึก ทำสัญญากันเรียบร้อย ด้วยความอยากรู้ประวัติความเป็นมาคร่าวๆของตึกที่ไปเช่า ผมจึงถามเจ้าของตึกที่อยู่ตึกนี้ว่า มีอะไร แปลกๆ มั้ย เคยมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า?

เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เพราะว่าซีกซ้ายกับซีกขวาถัดไป 2ห้อง จะไม่มีคนอยู่ นอกนั้นจะมีคนอยู่เต็มไปหมด

ทางทีมงานของเราจึงเริ่มทำการก่อสร้าง ตกแต่งเพื่อเปิดเป็นมินิมาร์ท พวกนักศึกษาและคนที่อยู่แถวนั้น พอผ่านไปผ่านมาก็มักจะถามว่ากำลังสร้างอะไร?
เราก็บอกว่ากำลังทำมินิมา ร์ท แต่คำพูดต่อจากนี้สิครับ ที่ทำให้ผมสงสัยขี้นมาตงิดๆ เพราะหลายคนก็มักจะพูดว่า "คิดดีแล้วเหรอ?" นั้นทำให้ผมคิดว่ามีอะไรหรือเปล่า? แต่แทนที่ผมจะได้รับความกระจ่าง แต่กลับมีคำตอบที่ว่า"ไม่มีอะไรหรอก....สร้างไปเถอะ" หลังจากนั้นเราก็สร้างไปจวนจะเสร็จแล้ว แต่ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้ไปดูชั้น 2 ชั้น 3 ของตึกนั้นนะครับ เราก็ขึ้นไปดูตึกขวามือ ตึกที่เกิดเรื่องมีสายสิญจน์ตั้งแต่ข้างล่างจนไปถึงข้างบน ที่ทำให้บรรยากาศดูวังเวงมากขึ้นไปอีกก็คงจะเป็นบริเวณนั้นเต็มไปด้วย หยากไย่...ให้ความรู้สึกรกร้างอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ
แต่ในระหว่างที่เรากำลังสำรวจพื้นที่ยริเวณชั้น 2พลันก็ดันเหลือบไปเห็นนักศึกษาหญิงเดินนำหน้าเราขึ้นไปยังชั้น 3 ซึ่งนับว่าเป็นจุดที่เกิดเหตุครับ(เกิดอะไรเดี๋วทราบกันครับ) ตอนนั้นผมก็เอะใจขึ้นถามน้องที่ไปด้วยกันว่า "น้องๆใครขึ้นไปค้างบนอะ?" น้องที่ไปด้วยก็หันซ้ายหันขวาแล้วก็หันหน้ามาตอบว่า"ไม่มีใครนี่ครับพี่" แต่ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ทำให้ผมที่สาวเท้าตามขึ้นไปชั้น 3 แต่ผมปรากฎว่า เป็นสถานที่ที่เกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน เพราะมีสายมีแถบของตำรวจขึงอยู่ ห้ามเข้าไปในบริเวณนั้น ตอนนั้นทำให้ผมถึงกับ ชะงักงันไปเลยครับ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงตัดสินใจไปถามเจ้าของตึกว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี้ ทำไมมันมีพื้นที่ที่เข้าไม่ได้
แต่เจ้าของตึกกลับบอกว่าไม่มีอะไร สงสัยพวกตำรวจคงมาขึงเล่น...
มันยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่เลยครับ ตำรวจที่ไหนจะมาขึงเล่น มันเป็นไปไม่ได้หรอก ตึกแห่งนี้ต้องเคยเกิดเรื่องไม่ดีแน่นอน เหตุการณ์ระหว่างนั้นคือ ระหว่างที่เราทำงานอยู่ที่นี่ เราต้องอยู่ตึกซ้ายมือ ต้องนอนเฝ้างานก่อสร้าง แล้วทุกตี 3 ของทุกคืน ผมจะต้องสะดุ้งตื่นเพราะข้างบนได้ยินเสียงเหมือนการต่อสู้เกิดขึ้นได้ยิน เสียงผู้หญิงร้อง ผมชวนพรรคพวกขึ้นไปดูสำรวจทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไร มันไม่มีอะไรจริงๆ ครับเวลาผ่านไปประมาณ1สัปดาห์ พวกเราที่ทำงานอยู่ ด้วยกันที่นั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของความทรมานตลอด

จนมีอยู่มัน หนึ่ง วันนั้นรู้สึกว่าจะเป็นวันพระ ตอนนั้นผมกำลังอาบน้ำเวลาประมาณตี 2 เห็นจะได้ครับ อาบน้ำเสร็จก็มาแต่งตัว แล้วกระจกแต่งตัวของผมก็จะวางอยู่ในลักษณะที่มองเข้าไปก็จะเห็นเงาสะท้อนของ ระเบียงด้านหลัง แล้วสิ่งที่ผมเห็นคืออะไรรู้มั้ยครับ ขอบอกว่าน่าสยดสยองมาก ผมเห็นผู้หญิงเปลือยท่อนบน โดนเหล็กทิ่มอยู่เลือดไหลโชกไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังพูดเสียงเบาๆเย็นๆว่า "หนูหิว!" ตอนนั้นผมตกใจมากเลยครับ ขนลุกไปทั้งร่างเลยทีเดียว ผมรวบรวมความกล้าหันไปมองตรงๆ ก็ยังเห็นเธออยู่ที่เดิม แล้วเธอก็ครำครวญ อีกว่า "หนูหิว!" จากนั้นเธอก็หายวับไปกลับตาเลยครับ นาทีต่อมาจากนั้นผมก็ลงมาข้างล่าง ถามน้องๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นตรงระเบียงหรือเปล่า มีเหตุการณ์การอะไรเกิดขึ้นมั้ย?
ตอน นั้นผมเรื่มโวยวายลั่นแล้วครับคงเป็นเพราะด้วยความตกใจระคนความกลัวก็เป็น ได้ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบอะไรได้แล้วความสงสัยหลายๆ อย่างก็ทำให้ผมตัดสินใจไปหาเจ้าของบ้านตอนนั้นเลยครับ ตอนแรกเขาก็ อำๆ อืมๆ ไม่ยอมบอก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเฉลยความจริงให้ผมฟังครับ "ที่ตึกชั้น 3 ข้างขวา เคยมีนักศึกษาโดนฆ่าข่มขืน ตอนที่เกิดเหตุเป็นเวลาประมาณตี 3 ครับ เธอถูกฆ่าเปลือย แล้วหลังจากฆาตรกรใจโหดข่มขืนเสร็จ ก็ใช้เหล็กแหลมทิ่มที่หน้าอก" ผมก็เลยให้เจ้าของพาไปเปิดห้องที่เกิดเหตุให้ผมดูครับ เชื่อมั้ยครับว่าเฟอร์นิเจอร์ ของทุกอย่างยังอยู่ครบ คราบเลือด เส้นผม สิ่งต่างๆยังอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ยังเครียร์คดีไม่จบ ซึ่งเจ้าของก็บอกว่าหลังจากเกิดเหตุสยองขวัญขึ้น เธอก็มาขอส่วนบุญเป็นประจำ... เชื่อมั้ยครับว่าเรื่องนี้ ผม ได้สัมผัสมากับตัวเอง จริงๆครับ..

ขอขอบคุณเรื่องเล่าจาก:: พลังจิตดอทคอม

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่องน่ากลัวพาน้องส่งห้องงงงง

(ภาพ)


เรื่องนี้ พี่เดชพี่ชายผมเล่าให้ฟัง เห็นมันแปลกและชวนน่าขนลุกจึงนำมาถ่ายทอดให้แฟนเรื่องสยองขวัญได้ฟังกันเมื่อต้นปีที่แล้วพี่เดชได้ไปผ่อนคอนโดไว้ใกล้ๆที่ทำงาน เป็นคอนโดมิเนียมสูงสิบชั้น ตั้งอยู่ชานเมือง สร้างมาหลายปีแล้ว คืนแรกๆที่พี่เดชไปนอนที่คอนโดฯ ยังไม่สังเกตเห็นความแปลก แต่พอสองสามคืนผ่านไปก็เริ่มเห็นว่ามันมีอะไรที่ไม่ปรกติพอดู กล่าวคือ ในตอนกลางวันมีผู้คนเดินเข้าออกคึกคัก แต่พอตกกลางคืนบรรยากาศพลุกพล่านจอแจเมื่อตอนกลางวันดูเหมือนจะหายไปหมด คนในคอนโดฯ หมกตัวในห้องของใครของมัน ไม่ค่อยโพล่ออกมาเพ่นพ่านนอกห้อง ทำให้เงียบๆยังไงก็ไม่รู้ ยิ่งดึกภายในคอนโดฯ ก็ยิ่งวังเวง

คืนหนึ่งพี่เดชออกมาจาห้องเพื่อไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อหน้าคอนโดฯ ขณะเดินไปตามโถงทางเดินเพื่อไปลงลิฟท์นั้น รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบวังเวงจนสัมผัสได้ พอลงมาถึงชั้นล่างพี่เดชก็เดินลัดสนามหญ้าตัดออกไปยังถนนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก ขณะกำลังผ่านสนามหญ้าด้านข้างตัวตึก พลัน…หูก็แว่วได้ยินเสียงกระซิบร่ำไห้ของเด็กดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง พี่ผมจึงมองดูรอบๆ จึงเห็นร่างเล็กๆของเด็กคนหนึ่ง แกกำลังยืนร้องไห้อยู่ข้างตึก ทำให้พี่เดชนึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่าดึกออกอย่างนี้ทำไมมีเด็กมายืนร้องไห้อยู่ข้างตึกได้ พี่เดชหยุดมองครู่หนึ่งจึงเดินผ่านไป กระทั่งซื้อของเสร็จเดินกลับมาก็ยังเห็นเด็กคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม พี่เดชจึงเดินเข้าไปหา “หนูมายืนทำอะไรอยู่แถวนี้ มืดๆ ค่ำๆ อยู่ห้องไหนเดี๋ยวน้าจะไปส่งที่ห้อง”
แกสะอึกสะอื้นมองพี่เดชก่อนจะชี้ไปยังชั้นบน พลางบอกน้ำเสียงเย็นเยือก “หนูอยู่ห้อง 5 ชั้น 10 หนูขึ้นตึกไม่ได้ แม่ไม่ลงมารับ น้าช่วยไปส่งหนูที่ห้องหน่อย”

แม้ตอนนั้นจะนึกแปลกใจว่าทำไมพ่อแม่เด็กถึงไม่ใส่ใจ ลูกไม่กลับเข้าห้องแทนที่จะออกตามหากลับปล่อยให้เด็กมายืนร้องไห้อยู่ข้างตึก ไม่รู้เป็นพ่อแม่ประสาอะไร พี่เดชจึงอาสาพาเด็กขึ้นไปส่งที่ห้องเอง
พี่เด็กเดินเข้าไปในตึกเดินเข้าลิฟท์โดยมีเด็กคนนั้นเดินตามมาติดๆ ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์นั้น พี่เดชเล่าว่าแกรู้สึกเย็นเยียบ ขนลุกตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก่อนที่ลิฟท์จะเปิดออกที่ชั้นสิบ
พี่เดชถามเด็กคนนั้นว่าชื่ออะไร แกบอกว่าชื่อน้องปุ้ย คุณแม่ชื่อแม่นก พี่เดชยักหน้าหงึกและไม่ได้ถามอะไรต่อ พอโผล่ออกจากลิฟท์ก็เดินไปยังห้องหมายเลข5 โดยมีเด็กคนนั้นเดินตามตลอดเวลา ไปถึงหน้าห้องพี่เดชจึงกดออดหน้าห้อง สักพักมีหญิงวัยกลางคนมาเปิดประตูและทำหน้าฉงนเมื่อเห็นพี่เดชยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าของหล่อนอมทุกข์ หล่อนถามด้วยน้ำเสียงวแหบแห้งว่ามาหาใคร พี่เดชตอบหล่อนว่ามาหาคุณนก ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าหล่อนเองชื่อนกเป็นเจ้าของห้องนี้ มีธุระอะไรหรือเปล่า

ตอนแรกว่าจะต่อว่าผู้หญิงคนนี้ที่ปล่อยให้ลูกยืนร้องไห้อยู่ข้างตึกไม่สนใจไปตาม แต่พอเห็นใบหน้าอมทุกข์พี่เดชจึงตัดสินใจบอกกับหล่อนว่า “คือผมลงไปซื้อของเมื่อครู่ เห็นเด็กคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ข้างตึก เลยเข้าไปถามแกบอกว่าชื่อน้องปุ้ย แม่ชื่อนก อยู่ที่ห้อง5ชั้น10 แกอยากให้ผมพามาส่งที่ห้อง ผมเลยพาลูกคุณมาส่งนะครับ”

ให้ตายเถอะ…พี่เดชบอกออกไปแบบนั้นแล้วก็แทบช็อค เมื่อผู้หญิงที่ชื่อนกล้มฟุบลงไปทันที ด้วยความตกใจพี่เดชร้องลั่นว่าเป็นอะไร พอดีคนอื่นๆ ในห้องวิ่งมาดูและรีบประคองร่างที่อ่อนระทวยของหล่อนเข้าไปปฐมพยาบาลในห้อง พยาบาลกันอยู่พักใหญ่จึงฟื้นคืนสติกลับมาและร้องไห้เป็นวักเป็นเวรกว่าจะได้คุยกันรู้เรื่อง

ทุกคนในห้องรุมซักพี่เดชใหญ่ว่าเห็นเด็กที่ชื่อปุ้ยยืนร้องไห้อยู่ที่ข้างตึกจริงหรือ พี่เดชบอกว่าเห็นจริงๆ พลางมองหาน้องปุ้ยที่เดินตามมาแต่ทว่าไม่เห็น ออกไปดูที่โถงทางเดินก็ว่างเปล่า น้องปุ้ยหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พี่เดชจึงบอกว่าเดี๋ยวจะออกไปตามน้องปุ้ยเพราะเดินตามมาด้วยกัน “เดี๋ยวๆๆ คุณ….” น้องชายของผู้หญิงที่ชื่อนกถามขึ้น “คุณว่าน้องปุ้ยเดินตามคุณขึ้นมาจากชั้นล่างหรือ”
“ก็ใช่นะสิ…แกบอกให้ผมพามาส่งแล้วก็เดินมาด้วยกัน ตอนที่คุณนกเป็นลมแกยังยืนอยู่ข้างหลังผมเลย” พี่ชายผมตอบออกไป ทั้งยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผู้หญิงที่ชื่อนกร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก ต้องปลอบกันอยู่พักใหญ่จึงเงียบลงได้ แล้วเรื่องที่ทำให้พี่เดชแทบช็อคก็ถูกถ่ายทอดให้ฟัง…คือเด็กที่ชื่อน้องปุ้ย ที่พี่เดชพบยืนร้องไห้อยู่ข้างตึกนั้น แกตายได้เกือบเดือนแล้ว ก่อนที่พี่เดชจะย้ายเข้ามาอยู่ สาเหตุที่ตายเพราะตกจากระเบียงขณะที่ปีนระเบียงขึ้นไปสอยว่าวที่ติดอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เลยพลัดหล่นลงมาจากระเบียงชั้นสิบ ตกลงมาสิ้นใจตายตรงจุดที่พี่เดชเห็นแกยืนร้องไห้นั่นล่ะ…

พี่เดชบอกว่าพอรู้เรื่อง ตอนขากลับออกจากห้องนั้นที่ชั้น10 พี่เดชต้องขอร้องคนในห้องให้ลงมาส่ง เพราะแกบอกว่าไม่กล้าจะลงลิฟท์คนเดียวจริงๆ หลังจากเจอเหตุการณ์นั้น พี่เดชแทบไม่กล้าโผล่ออกจากห้องยามดึกดื่นเที่ยงคืนอีกเลย

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ผี-ความเชื่อ

ลุงทุ้ยคุยเรื่องผีผมลุงทุ้ยหนุ่มหล่อหน้าตาดีวันนี้จะมาคุยเรื่องความชงความเชื่อเรื่องผีนะอ่านๆดูละกัน
ผี : ความเชื่อ คติความเชื่อเรื่องผีเป็นคติความเชื่อที่มีอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคน ซึ่งพยายามหาคำตอบในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ผีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์มีความผูกพันกันและได้แสดงพฤติกรรมร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี

ผี ในทัศนคติของชาวบ้านเป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้ให้ความหมายหรืออาจกล่าวได้ว่า ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยระบบประสาททั้งห้า หากมันเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ที่ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมระดับชาวบ้าน แม้แต่ในราชสำนักไทยแต่เดิมพิธีกรรมต่าง ๆ ก็มีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปปะปนอยู่มาก ความเชื่อเรื่องภูติผีนั้นฝังแน่นอยู่กับคตินิยมของคนไทยอย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่สมัยอดีต แม้แต่ทางบ้านเมืองก็ยังมีพระราชพิธีเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติผีอยู่ไม่น้อย ในรอบปีหนึ่ง ๆ เช่น การเซ่นสรวงพระเสื้อเมือง พระทรงเมืองและหลักเมือง รวมทั้งพิธีสอบสวนคดีความสมัยอดีตโดยใช้พิธีลุยไฟ ดำน้ำ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลย ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวเป็นความเชื่อในภูติผีวิญญาณทั้งสิ้น แม้แต่สมัยกรุงสุโขทัยซึ่งศาสนาพุทธกำลังเจริญรุ่งเรือง การนับถือผีสางก็ยังนิยมกันอยู่ ปัจจุบันในท้องถิ่นอีสานบางแห่งความเชื่อเรื่องผีก็ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชุมชนอยู่มาก

สำหรับคนอีสาน ผีคือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทราบว่ามีมาแต่เมื่อใดหรือมีมาอย่างไร ผีเหล่านี้ประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ เช่น ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้าน ผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น ผีปอบ ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา จนแทบจะแยกกันไม่ออกว่าพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนา หรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อเรื่องผี
ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานเข้ามาผูกพันในการประกอบอาชีพ ซึ่งว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน การทำนาอันเป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับสภาพของธรรมชาติดินฟ้าอากาศ จะได้ผลหรือไม่ได้ผลขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และสิ่งที่นับว่ามีความสำคัญต่อการทำนาก็คือน้ำ น้ำที่ได้จากน้ำฝน ซึ่งชาวอีสานเชื่อว่ามีผีเป็นผู้คอยบันดาลให้ฝนตก ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ มีน้ำเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอำนาจดลบันดาลของผีแถน ก่อนลงมือทำนาเมื่อย่างเข้าฤดูฝนจึงต้องมีพิธีกรรมขอฝนจากผีแถน เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีน้ำมากพอที่จะได้ทำนา เมื่อได้น้ำฝนแล้ว ก่อนลงมือหว่านข้าวกล้าก็จะมีพิธีไหว้ผีระจำที่นา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าผีตาแฮก เพื่อข้าวกล้าจะได้เจริญงอกงามไม่ถูกรบกวนจากศัตรูข้าว ได้ข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิต เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็มีพิธีสู่ขวัญลานนวดข้าว สู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคลมีข้าวได้พอกินตลอดปี ก่อนที่จะถึงฤดูกาลทำนาในปีต่อไป ซึ่งล้วนแต่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับผีทั้งสิ้น

ผีเป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจเหนือธรรมชาติที่ชาวอีสานให้ความสำคัญมาก เพราะผีผูกพันอยู่กับการดำเนินชีวิต พอแรกเกิดชีวิตก็ผูกพันกับผีทันที คือมีพิธีการสู่ขวัญเด็กแรกเกิด เพื่อให้ผีที่เชื่อว่าเป็นผีร้ายไม่ให้มาทำลายชีวิตที่จะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า และให้ผีที่ดีมาคุ้มครองปกปักรักษาให้เป็นคนดีมีความเจริญ มีวิถีทางในการดำเนินชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า เมื่อเจริญวัยขึ้นการดำเนินชีวิตตามฮีตตามคอง อันเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของชาวอีสานแต่อดีต ความเชื่อเรื่องผีก็เข้าไปมีบทบาทอยู่มาก ในหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเมื่อถึงวัยอันควรที่จะมีชีวิตคู่เข้าสู่พิธีแต่งงาน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะดูว่าชายที่จะมาเป็นลูกเขย มีความประพฤติเป็นอย่างไร ตามฮีตตามคองหรือไม่ ประพฤติตัวผิดผีหรือไม่ เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงพิจารณาเป็นที่พอใจแล้วก็จะจัดให้มีพิธีแต่งงาน ในพิธีแต่งงานนั้นช่วงหนึ่งจะมีพิธีบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้ทราบว่าชายหญิงคู่นี้จะใช้ชีวิตร่วมกัน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผีปู่ย่าตายายจงมารับรู้ มาปกปักรักษาให้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองมีการครองเรือนที่มีแต่ความสุข อย่าให้ความทุกข์มากล้ำกราย แม้ถึงคราวเจ็บป่วยความเชื่อเรื่องผีก็เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยชาวอีสานจะพิจารณาจากอาการ จากลักษณะของโรคที่เป็นแยกออกเป็นสองลักษณะคือ โรคที่เกิดจากพยาธิหรือเชื้อโรคนั่นหมายถึงเป็นโรคที่เกิดจากธรรมชาติ ต้องหายามารักษาซึ่งอาจได้จากสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไปหรือยาจากสาธารณสุข และถ้าไม่ใช่โรคที่เกิดจากธรรมชาติก็เกิดจากการกระทำของภูติผี หรือว่าคนป่วยไปกระทำการอันใดอันหนึ่งที่เป็นการผิดผีมา ก็จะมีวิธีการรักษาอีกแบบหนึ่ง คือใช้นางเทียม (ผู้ทรงผีฟ้า) เข้าประทับทรงติดต่อกับผีสอบถามว่าผู้ป่วยได้กระทำการอันใดที่เป็นการผิดผีหรือไม่ ถึงได้สำแดงให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น เมื่อทราบจากนางเทียมว่าผู้ป่วยไปกระทำการอันใดที่เป็นการผิดผี ก็ให้ผู้ป่วยไปแก้ไขตรงจุดนั้น ด้วยการแต่งพิธีกรรมเพื่อขอขมาบูชาเซ่นสรวง ซึ่งบางรายก็หายจากการเจ็บป่วยจริง ๆ ก็มี อาจเป็นเพราะความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่ทำให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยก็เป็นได้

อำนาจเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผียังเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวอีสานแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อมีคนตายชาวอีสานจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการส่งวิญญาณของผู้ที่จากไปให้ไปสู่ภพที่มีแต่ความสงบสุข ดินแดนที่ชาวอีสานเชื่อว่ามีความสงบสุขก็คือสวรรค์ จากความเชื่อที่ว่าถ้าได้ทำบุญให้ผู้ตายแล้ว ผู้ตายจะไปมีสุขอยู่บนสวรรค์น่าจะส่งผลมายังญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง คือช่วยให้คลายทุกข์โศกจากการจากไปของญาติที่เสียชีวิต ถึงแม้เขาจะจากไปแต่ก็ไปพบกับความสุขอยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข สงบ สบาย แม้ผู้ตายจะตายไปนานแล้วก็ตาม ชาวอีสานก็ยังมีความเอื้ออาทรต่อผู้ตาย คือยังมีพิธีกรรมในฮีตเดือนเก้า การทำบุญข้าวประดับดินเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ให้ยังคงได้รับความสุขอยู่บนสวรรค์ โดยเชื่อว่าผีผู้ตายสามารถที่จะรับเอาส่วนบุญนี้ได้

ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา ไร่ นา และหมู่บ้าน สังเกตได้จากการมีพิธีกรรมทำบุญให้ผีอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็จะมีการบนบานขอขมาต่อภูติผีวิญญาณ เพื่อเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจของตนกลับคืนมา เปรียบเสมือนผีคืออำนาจเหนือธรรมชาติ ชาวอีสานมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา มีภูติผีวิญญาณสิงสถิตอยู่ซึ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ ในทัศนะเช่นนี้เป็นการเอื้อต่อการดำเนินชีวิตให้มีความสมดุลย์ในสังคมอีสาน ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ความเชื่อเรื่องผีในสังคมอีสานคล้ายกับกฎหมายในปัจจุบัน คนอีสานจึงยึดถือปฏิบัติตามฮีตสอบสองคองสิบสี่ ซึ่งหมายถึงบรรทัดฐานแห่งการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน อันมีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มาก

ความเชื่อเรื่องผีมีความผูกพันกับชีวิตของคนอีสานตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เกี่ยวข้องกับชีวิตตลอดเวลา อำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีผีเป็นตัวแทน จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของวิถีชีวิตชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งอดีต ผีทำให้ชาวอีสานดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเดี่ยวกันด้วยความราบรื่น สงบสุข โดยไม่ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีศาลมาคอยตัดสินคดีถึงสิ่งถูกผิด ความเชื่อเรื่องผีและฮีตคองในท้องถิ่นจะเป็นสิ่งที่ชี้ว่า อย่างนั้นดีอย่างนี้ไม่ดี ความเชื่อเรื่องผีความสำคัญอาจจะไม่อยู่ที่ผี แต่อยู่ที่ “ จิตสำนึกของมนุษย์ ” ก็เป็นได้

รายการบล็อกของฉัน