ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตำนาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตำนาน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

สยอง! เปิดตำนานฆาตกรกินคนแห่งเยอรมัน ที่ฆ่ากินเนื้อคนมากว่า 20 ปี


สยอง! เปิดตำนานฆาตกรกินคนแห่งเยอรมัน ที่ฆ่ากินเนื้อคนมากว่า 20 ปี

เป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆนะครับสยดสยองพองขนกับฆาตกรโรคจิตฆาตกร ต่อเนื่อง ที่ชอบกินเนื้อคนเป็นว่าเล่นแถมยังข่มขืนศพผู้หญิงที่ถูกฆ่าหรือประกอบพิธีกรรมประหลาดๆชักว่าวใส่ศพที่ตายแล้วทุกราย ฆาตกรโรคจิตจะทำอย่างนี้ไม่รู้ว่าเขาทำพิธีกรรมบ้าๆบอๆนี้เพื่ออะไร


ฆาตกรโรคจิตชาวเยอรมัน สยอง! เปิดตำนานฆาตกรกินคนแห่งเยอรมัน ที่ฆ่ากินเนื้อคนมากว่า 20 ปี

บนโลกนี้มีฆาตกรต่อเนื่องมากมาย หลายคนเป็นฆาตกรที่โหดเหี้ยม โรคจิตวิปริต แต่จะมีฆาตกรสักกี่คนที่ฆ่าคนแล้วกินเนื้อมนุษย์ด้วย อย่างเช่นตำนานฆาตกรสุดโหดจากเยอรมนีรายนี้

โจอาคิม จอร์จ โครลล์ เป็นที่รู้จักกันดีในฉายา “นักกินคนแห่งดุยส์บวร์ก” เขาเกิดในปี 1933 เป็นลูกชายของคนงานเหมืองถ่านหิน แม้ว่าตอนเป็นเด็กเขาจะตัวเล็กและมีร่างกายอ่อนแอ แต่นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาดูเป็นคนธรรมดา และเป็นข้อดีของการก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง


ความโหดเหี้ยมของเขาเริ่มต้นในปี 1955 ตอนที่เขาอายุได้ 22 ปี เขาข่มขืนและคว้านไส้ของหญิงสาวคนหนึ่งในเมืองใกล้เคียง
ในระหว่างปี 1955-1976 เขาฆ่าคนมากขึ้นเรื่อยๆ ตำรวจพบร่างกายของเหยื่อที่ถูกฆาตกรรม มีชิ้นส่วนที่ถูกตัด เช่น เนื้อต้นขาและเนื้อก้น ซึ่งทำให้นักสืบคดีนี้งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น


โครลล์ จะประกอบพิธีกรรมประหลาดทุกครั้งที่เขาฆ่าคน วิธีที่เขาใช้จะเป็นรูปแบบเดิมทุกครั้ง คือการบีบคอเหยื่อจนตาย เปลื้องผ้าเหยื่อและข่มขืนศพ นอกจากนั้นเขายังช่วยตัวเองเหนือร่างศพอีกด้วย หลังจากนั้น เขาจะชำแหละเนื้อของเหยื่อและกินมัน


ในปี 1976 เขาฆ่าเหยื่อรายสุดท้ายของโครลล์ เป็นเด็กหญิงอายุเพียง 4 ขวบ เมื่อหนูน้อยถูกลักพาตัวไป ตำรวจรีบค้นหาอย่างเร่งด่วน พวกเขาไปเคาะตามประตูที่ต่างๆ เพื่อเตือนเกี่ยวกับฆาตกร
จนกระทั่งตำรวจไปเคาะประตูเพื่อนบ้านของโครลล์ เพื่อนบ้านบอกตำรวจว่า เขาเพิ่งไปถามโครลล์มาว่า มีอะไรอุดท่อของเขารึเปล่า เพราะท่อตันอยู่ตอนนี้ ซึ่งโครลล์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไส้” นั่นเป็นเหตุให้ตำรวจบุกเข้าไปในอพาร์ทเมนท์ของโครลล์

และก็ได้พบกับชิ้นส่วนร่างกายของเด็กน้อยกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด บางส่วนถูกห่อเอาไว้อยู่ในตู้เย็น และมีชิ้นส่วนอื่นๆ เตรียมพร้อมไว้สำหรับปรุงอาหารบนเตา และสุดท้ายก็คือไส้ของหญิงสาวที่ไปอุดท่อประปาอยู่



ตำรวจจับกุมเขาทันที เขาถูกตัดสินลงโทษใน 8 คดีฆาตกรรม แต่จากการรับสารภาพ เขาฆ่าคนไปทั้งหมด 14 คน โครลล์ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และเขาเสียชีวิตในคุกในปี 1991 เป็นอันปิดฉากฆาตกรกินคนที่โหดเหี้ยมที่สุด

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ตำนาน ปลัดขิก เป็นรูปจำลองอวัยวะเพศชาย มักทำด้วยไม้ ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร..

ตำนาน ปลัดขิก เป็นรูปจำลองอวัยวะเพศชาย มักทำด้วยไม้ ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร..มาดูกัน

ทุกๆคนคงจะรู้จักปลัดขิกกันแล้วใช่ไหมครับปลัดขิกก็คือรูปจำลองอวัยวะเพศชาย มักทำด้วยไม้ เป็นดุ้นมีหลายขนาดนะครับทั้งขนาดใหญ่ยาวเล็กก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละอาจารย์ที่ทำปลัดขิกนะครับ

แต่ก็ยอมรับเลยว่าประเทศไทยเนี่ยน่าจะมีปลัดขิกที่มีคุณลักษณะพิเศษคาถาอาคมมากที่สุดก็ว่าได้นะครับ...น่าจะเป็นดิลโด้รุ่นแรกๆก็ว่าได้ที่มีลักษณะพิเศษแปลกแตกต่าง ของต่างประเทศ...ไทยจะลงคาถาอาคมมีที่มาที่ไป มีความเชื่อ เเกี่ยวกับโชคลาภหรือเรียกทรัพย์ทำเสน่ห์มหาเสน่ห์อะไรก็แล้วแต่นะครับ

ใครอยากจะเชื่ออะไรก็เชื่อ..ถ้าเชื่อถือแล้วมีความสุขกาย สบายใจก็ไม่เสียหายแต่อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อนเลยนะครับเป็นดีที่สุด...

เราจะมาเข้าเรื่องบทความกันเลยดีกว่านะครับ



👉🏿ปลัดขิก เป็นรูปจำลองอวัยวะเพศชาย มักทำด้วยไม้ ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง อ้ายขิก, ไอ้ขิก หรือ ขุนเพ็ด ก็เรียก

ปลัดขิกทำจากไม้รัก

ลักษณะ

👉🏿ปลัดขิกหรือขุนเพ็ดจัดเป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมอีกอย่างหนึ่งของคนไทย ปลัดขิกส่วนมากแกะสลักมาจากไม้ที่เชื่อกันว่าเป็นไม้มงคล หรือบางทีอาจทำจาก หิน ทองเหลือง ทองแดง กัลปังหา เขา งา เขี้ยว ของสัตว์ แกะสลักเป็นรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศชายแต่ไม่มีหนังหุ้มปลายอวัยวะ มีขนาดต่าง ๆ กันและยาวพอเหมาะกับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง เมื่อทำการแกะสลักแล้วก่อนนำมาบูชาเป็นเครื่องรางของขลังจะต้องทำการปลุกเสกโดยผู้มีความรู้ด้านไสยศาสตร์ หรือพระภิกษุ 

👉🏿ซึ่งหากทำการปลุกเสกด้วยพระภิกษุเชื่อกันว่าจะได้รับพระพุทธคุณมาด้วย ในปัจจุบันจึงพบว่าปลัดขิกส่วนใหญ่มาจากการปลุกเสกของพระภิกษุ คนไทยบางคนเชื่อกันว่าให้คุณแก่ผู้บูชา ส่วนชาวต่างชาติก็ทำเป็นของสะสม

👉🏿ส่วนชื่อเรียก ปลัดขิก ไม่มีที่มาปรากฏชัดว่าเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น ส่วนคำว่า ปลัด หมายถึง ตำแหน่งรองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า หรือสันนิษฐานว่าพ้องเสียงมาจากคำว่า ปราศวะ ในภาษาสันสกฤต แปลว่าเคียงข้าง

เนื่องจากผู้บูชาปลัดขิกนิยมแขวนไว้ที่เอวหรือหากเป็นเด็กจะแขวนที่คอ เมื่อมีผู้พบเห็นแล้วเกิดหัวเราะเสียงดังคล้าย คิกๆคักๆ จึงอาจเพี้ยนมาเป็นปลัดขิก

ประวัติ

ตามความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมานั้น สันนิษฐานว่าอาจได้รับอิทธิพลมาจากชาวอินเดียในแถบตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 2000 ปีก่อน โดยอาจเกี่ยวข้องกับชาวฮินดูที่นับถือพระอิศวร และบูชาแท่งหินแกะสลักคล้ายอวัยวะเพศชาย เรียกว่า ศิวลึงค์

การเริ่มบูชาปลัดขิกนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งได้มีการสร้างเสาหินที่ผสมผสานระหว่างรูปร่างของพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าด้วยกัน หากดูผิวเผินจะคล้ายกับอวัยวะเพศชาย จึงเรียกว่า ลึงค์ เมื่อมีความเชื่อเกี่ยวกับพระอิศวรหรือพระศิวะกับพระอุมา ศิวะลึงค์จึงได้สร้างขึ้นมาให้มีขนาดเล็กลงเพื่อความสะดวกในการพกพา

👉🏿บางตำนาน กล่าวว่าเกิดจากบรรดาเทพและมนุษย์ร่วมกันสร้างเพื่อบูชาพระศิวะ แต่การจะสร้างพระศิวะเพื่อบูชานั้นอาจดูว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเกินไป จึงได้สร้างศิวะลึงค์ขึ้นบูชาซึ่งอาจสื่อถึงความมีราคะของพระศิวะ

👉🏿ส่วนอีกตำนานหนึ่งนั้นกล่าวว่า วันหนึ่งพระศิวะร่วมเสพสังวาสกับพระอุมาในท้องพระโรง ทำให้บรรดาเหล่าเทพที่มาเข้าเฝ้าเห็นเข้า และแสดงความไม่นับถือต่อพระศิวะ ด้วยด้วยเหตุนี้พระศิวะจึงบันดาลโทสะและประกาศในท้องพระโรงนั้นว่า อวัยวะของพระองค์นี่แหละจักปกป้องคุ้มครองแก่ผู้เคารพบูชา หากเทพหรือมนุษย์ผู้ต้องการประสบความสำเร็จและความสุขในชีวิตจะต้องเคารพบูชาให้กราบไหว้บูชาอวัยวะของพระองค์

👉🏿มีบางตำนานกล่าวว่า วันหนึ่งเกิดโรคระบาดจนมีผู้คนล้มตายลงเป็นอันมากและเชื่อกันว่าเกิดจากพระอุมา อัครมเหสีของพระศิวะเกิดบันดาลโทสะโดยไม่ทราบสาเหตุ เหล่าพราหมณ์จึงแก้ด้วยการทำสิ่งบูชาคล้ายอวัยวะเพศชายเพื่อเป็นตัวแทนพระอิศวรและทำให้โรคระบาดหายไปในที่สุด

👉🏿ตำนานที่เชื่อกันว่าน่าเชื่อถือที่สุดคือตำนานเกี่ยวกับการบูชา ตรีมูรติ มีการบูชาเทพผู้เป็นใหญ่ทั้งสามได้แก่ พระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ และเทพทั้งสามได้มาปรากฏกายให้ผู้บูชาได้ชื่นชมพระบารมี โดยพระพรหมปรากฏเป็น สี่หน้า สี่กร พระวิษณุ เป็นเทพธรรมดา ส่วนพระศิวะปรากฏให้เห็นเฉพาะส่วนที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเพศชาย หลักจากนั้นจึงได้มีการสร้างสิ่งเคารพที่แสดงถึงเทพทั้งสามตามที่ปรากฏให้เห็น

😁ในประเทศไทยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเริ่มมีมาในสมัยใด และมีความแแตกต่างจากศิวลึงค์ของชาวฮินดู เนื่องจากปลัดขิกที่คนไทยนำมาบูชานั้นทำขึ้นจากผู้มีวิชาความรู้ด้านไสยศาสตร์และทำการปลุกเสกเพื่อให้เป็นเครื่องรางของขลัง โดยในสมัยโบราณคนไทยนิยมห้อยปลัดขิกไว้กับเอวหรือห้อยคอสำหรับเด็กผู้ชาย

ซึ่งการทำเช่นนี้เพราะมีความเชื่อว่าหากมีปลัดขิกติดตัวจะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆได้ หรือบางคนนำมาบูชาไว้กับสถานประกอบการค้าขายเพราะเชื่อว่าจะทำให้ค้าขายมีกำไรมีคนอุดหนุนกิจการมากขึ้น

ความเชื่อในปัจจุบัน
ปลัดขิกในปัจจุบันนอกจากทำขึ้นโดยผู้มีความรู้ด้านไสยศาสตร์แล้ว ยังพบว่าถูกสร้างโดยพระภิกษุและได้รับความนิยมมากอาจเพราะมีความเชื่อทางด้านพุทธคุณประกอบกัน หรือ บางครั้งถูกสร้างโดยผู้มีความศรัทธาในพระภิกษุนั้นแล้วทำการแกะสลักปลัดขิกจากนั้นจึงนำไปให้พระภิกษุที่ตนเองนับถือทำการปลุกเสก

😄นอกจากนี้ปลัดขิกยังถูกมองว่าเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะมีการแกะสลักเป็นรูปลิง หรือรูปร่างหญิงเปลือยกาย ซึ่งล้วนแต่มีความเชื่อผสมอยู่เสมอ เช่น ลิงอาจหมายถึงความคล่องแคล่ว หญิง หมายถึง มีเสน่ห์ หรือทำขึ้นเพื่อให้ชาวต่างชาตินำไปเป็นของสะสม โดยมีความศรัทธาร่วมหรือไม่ก็สุดแล้วแต่

😁เป็นยังไงบ้างล่ะครับจบบทความเรื่องปลัดขิกแล้วปลัดขิกของคนไทยเน้นคาถามหานิยม
👉🏿ถ้าเป็นพวกฝรั่งมังค่า..มาเห็นปลัดขิกไทย ก็อาจเข้าใจผิด..คงนึกถึงดิลโด้หรืออวัยวะเพศชายเทียมที่ใช้สำหรับผู้หญิงสาวแก่แม่หม้ายผัวทิ้งที่มีความต้องการทางเพศ....บางทีความคิดคนเรามันก็แตกต่างกันนะครับของสิ่งเดียวกัน...แต่มีความเชื่อหลากหลาย

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ตำนานสุดสยอง ผีนับจาน ผีสาวแห่งปราสาทฮิเมจิ

‘ผีนับจาน’ ผีสาวแห่งปราสาทฮิเมจิ ตำนานสุดสยองแห่งแดนอาทิตย์อุทัย
‘ปราสาทฮิเมจิ’ (Himeji Castle) หรือ ‘ปราสาทนกกระสาขาว’ ตั้งอยู่ที่เมืองฮิเมจิ (Himeji) จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo)
ค้นหา ประเทศญี่ปุ่น ปราสาทที่เป็นตัวอย่างของความสมบูรณ์แบบที่สุดในด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมตามแบบฉบับของญี่ปุ่นโบราณ ปราสาทแห่งนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกอีกด้วย และนอกจากความงดงามของตัวปราสาทที่มีสีขาวสะอาด ติดอันดับ 1 ใน 3 ปราสาทที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นแล้วนั้น 

ปราสาทแห่งนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องความสยองขวัญ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของภูติผีสุดลี้ลับ อันเป็นที่กล่าวขานโด่งดังที่สุดในตำนานของชาวแดนอาทิตย์อุทัยเลยก็ว่าได้ ผีตนนี้มีนามว่า ‘ผีนับจาน’ (Sarayashiki) หรือ ‘โอคิคุ’

เรื่องราวของ ‘ผีนับจาน’ มีหลากหลายตำนานที่ได้เล่าขานกันต่อๆ มา แต่เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดคือเรื่องราวของสาวใช้คนหนึ่งนามว่า ‘โอคิคุ’ (Okiku) เป็นสาวใช้ของขุนนางนามว่า อาโอยามะ ชุเซ็น วันหนึ่งสาวใช้โอคิคุได้เผลอทำจานราคาแพงซึ่งว่ากันว่า จานใบนี้เป็น 1 ใน 10 ชุดจานอันล้ำค่าที่นำเข้ามาจากเมืองจีนของขุนทางผู้นี้แตก ขุนนางและภรรยาผู้ซึ่งมีนิสัยดุร้ายและเหี้ยมโหดก็โกรธโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งคู่จึงได้ร่วมมือกันโยนร่างของสาวใช้โอคิคุผู้สำนึกผิดลงในบ่อน้ำ และปล่อยให้เธอตายอย่างทรมาน

กาลเวลาล่วงเลยผ่าน ภรรยาของขุนนางได้คลอดบุตรชาย แต่เด็กคนนี้กลับมีนิ้วมือเพียง 9 นิ้วเท่านั้น! นอกจากนั้นได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับครอบครัวของขุนนางใจโฉดผู้นี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งเรื่องที่บรรยากาศในบริเวณบ้านอันเย็นยะเยือก และในตอนกลางคืนมักมีผู้พบเห็นดวงไฟประหลาดออกมาจากบ่อน้ำที่สาวใช้โอคิคุถูกโยนลงไป พร้อมกับเสียง ‘นับจาน’ อันน่าขนลุก ที่พอนับไปถึงใบที่เก้าเมื่อไหร่ก็จะมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างโหยหวนตามมาเมื่อนั้น 
เหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นทุกคืนจนคนรับใช้ในบ้านของขุนนางผู้นี้พากันลาออกไปจนหมด และแล้วความจริงก็ปรากฏเมื่อมีผู้กล้าลงไปสำรวจบ่อน้ำที่พบเห็นดวงไฟประหลาดแล้วก็พบกับร่างไร้วิญญาณของสาวใช้โอคิคุจมอยู่ที่ก้นบ่อ ขุนนางอาโอยามะและภรรยายอมสารภาพผิดทั้งหมดและได้รับการลงโทษไปตามระเบียบ
Sarayashiki
ส่วนบ่อน้ำที่ร่างของสาวใช้โอคิคุจมอยู่นั้น เชื่อกันว่าอยู่ที่ปราสาทฮิเมจิ แต่ก็มีบางคนเชื่อว่า บ่อน้ำดังกล่าวน่าจะอยู่ที่สถานทูตแคนาดา ณ กรุงโตเกียว ซึ่งเดิมพื้นที่ๆ สร้างสถานทูตนั้นเป็นที่ดินของตระกูลขุนนางอาโอยามานั่นเอง
เรียบเรียง :😂

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ลิลิธ นางมารร้ายแห่งรัตติกาล

“ลิลิธ” นางมารร้ายแห่งรัตติกาล
ค้นหา
Custom Search
ตำนาน เรื่องเล่าจากโบราณ  “ลิลิธ” นางมารร้ายแห่งรัตติกาล

👹นางปีศาจลิลิธที่ถือได้ว่าเป็นปีศาจตัวแรก ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ตามตำนานของเทพปกรณัมยิว เพราะนางเป็นมนุษย์คู่แรกของโลกที่กำเนิดมาพร้อมกับอดัม และจัดว่าเป็นภรรยาคนแรกของอดัมอีกด้วย นางมีจิตใจและการกระทำที่ชั่วร้ายมาก จึงได้ถูกขับออกจากสวรรค์ในท้ายที่สุด

และเพื่อให้เป้าหมายในการสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นผลสำเร็จ พระเจ้าเลยสร้างอีฟขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของอดัมเอง บางตำนานเชื่อกันว่า บาปของลิลิธได้ตกอยู่ที่อีฟแทน ทำให้ผู้หญิงมีพละกำลังน้อยกว่าผู้ชาย

ส่วนลิลิธเมื่อตกจากสวรรค์ไป นางก็ได้เข้าร่วมแก็งกับพวกซาตาน ต่อต้านพระเจ้าอย่างสนุกสนานแถมนางยังได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์แวมไพร์อีกด้วย เพราะนางชอบดูดเลือดและสมสู่กับเหยื่อ เพื่อดูดพลังชีวิตมาให้ความงามของนางคงอยู่เป็นอมตะตลอดกาล

นางมารลิลิธมักจะปรากฎกายในร่างกายหญิงสาวที่มีความงามเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก แต่ในบางครั้งนางก็อาจจะปรากฎร่างออกมาในคราบปีศาจงูยักษ์ มีปีกที่หลังแต่ศรีษะก็ยังเป็นมนุษย์ดังเดิมนั่นเอง
ลิลิธ นางมารร้ายแห่งรัตติกาล

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2563

ตำนานเฮี้ยน วัดปทุมคงคา


วัดปทุมคงคา
สถานที่เฮี้ยนสุดท้ายคือสัมพันธวงศ์ วัดปทุมคงคา เป็นวัดโบราณสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา 
ต่อมาถูกทิ้งจนเป็นวัดร้างที่ห่างไกลผู้คน ดูวังเวงและน่ากลัว ในเวลาต่อมาได้ใช้เป็นลานประหารบรรดาชาติพระวงศ์หลายๆพระองค์
เรื่องเล่าของวัดนี้ ยังมีเรื่องของต้นอโศกผีสิง ซึ่งเมื่อก่อนในวัดมีต้นอโศกอายุร้อยปี ตั้งตระหง่านอยู่ในวัด

ชาวบ้านย่านนั้นเล่าว่า มีวิญญาณมาปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆในหลายรูปแบบ แล้วมักจะหายวับเข้าไปในต้นอโศก
เรียกว่าเฮี้ยนจนชาวบ้านหวาดกลัวไม่กล้าเข้าวัด จึงถูกตัดโค่นทิ้งในปี พ.ศ.2495

เรื่องราวทั้งหมดจึงเงียบลงได้ จะว่าเป็นความสบายใจ คลายระแวงของผู้คน ข่าวลือน่ากลัวนั้น จึงยุติลงก็น่าจะใช่
Custom Search

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รื้อตำนานสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์

หนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุHistory and Antiquities of Afterdate ของอังกฤษ
มีรายงานการค้นพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ในประเทศอังกฤษ เป็นประวัติการค้นพบที่เกิดขึ้นในสมัยกลาง-Middle Ages
(นักประวัติศาสตร์ให้การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในศตวรรษที่ 5 เป็นจุดเริ่มต้นของสมัยกลาง จนในศตวรรษที่ 15 ชาติต่างๆ ในยุโรปสามารถรวมตัวกันเป็นประเทศ รัฐ จนพัฒนาเป็นประเทศต่างๆ ในปัจจุบัน
นักประวัติศาสตร์ ให้การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ค.ศ.1453 เป็นจุดสิ้นสุด
สมัยกลาง)
ใจความตอนหนึ่งของหนังสือระบุว่า การขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ ได้ขุดเจอซากศพของมนุษย์ยักษ์โบราณ สุสานหรือหลุมศพนั้นอยู่ลึกลงไปจากระดับพื้นดินซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 4 หลา (3 เมตร หรือ 12 ฟุต) ศพนั้นมีแต่โครงกระดูกอยู่ภายในเสื้อเกราะเหล็กแบบโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นชุดเสื้อเกราะในยุคสมัยใด
จากโครงกระดูกวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายนิ้วเท้าพบว่ามีความยาวถึง 4 หลาครึ่ง สองข้างของศพมีดาบและขวานขนาดมหึมาวางนอนอยู่ข้างละเล่ม หัวขวานเป็นเหล็กหนา 6 นิ้ว ส่วนดาบก็เป็นเหล็กสองคมยาว 2 หลา รวมกับตัวด้ามถืออีก 16 นิ้วเป็น 2 หลา 16 นิ้ว...ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่ามีหัวกะโหลกหน้าผากกว้างถึง 18 นิ้ว มีกรามใหญ่และมีฟันยาวยื่นขนาด 6 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว
หนังสือบอกไว้ด้วยว่าชิ้นส่วนต่างๆ ของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้น ถูกพวกนักสะสมของเก่าหรือของแปลกๆ แย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกัน เช่น บอกว่า เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของ แซนด์แห่งเรดิงตัน(Sands of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อ ไวเบอร์แห่งเซนต์บีส์
(Wybers of St.Bees)

รายงานอีกชิ้นหนึ่งเป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ เขียนไว้เป็นแพม เฟลต หรือเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล ความตอนหนึ่งกล่าวว่า มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ในอังกฤษ สุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกะโหลก ถึงปลายเท้าวัดได้ 25 ฟุต มีช่วงไหล่กว้างถึง 10 ฟุต...

รายงานกล่าวว่า ดร.มาซูเรียร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไปขายในตลาดมืดของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Musee de Paleontologie กรุงปารีส

ยังมีหลักฐานการค้นพบมนุษย์ยักษ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรากษส หรือยักษ์ อีกจำนวนไม่น้อย อาทิ ค.ศ.1969 นักโบราณคดีชาวอิตาลี ขุดพบสุสานโครงกระ ดูก 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโลงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผาซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใดๆ ไว้
โดยขุดพบบริเวณตำบลเตอร์ราซินา ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์
ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีตรวจสอบโดยละเอียดแล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า

โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงที่สูงที่สุดวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายเท้าสูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35-40 ปีโดยประมาณ พวกเขายังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเกือบทั้งหมด
เราตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นอธิบายไว้อย่างหยาบๆ ว่า พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มาเป็นทาสทหาร และคงถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ
แต่ที่น่าแปลกคือไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย

รายการบล็อกของฉัน