ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คาสปาร์ เฮาเซอร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คาสปาร์ เฮาเซอร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คาสปาร์ เฮาเซอร์ เด็กปริศนาแห่งนูเร็มเบิร์ม Kaspar


ของเรื่องเช้าวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม 1828 ได้มีเด็กหนุ่มอายุ 16 ปีปรากฏตัวกลางเมืองเข้า เด็กหนุ่มผู้นี้มีท่าทางงุนงง ตื่นตระหนกและแต่งตัวบอนๆ เดินเข้าไปในนูเร็มเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ใครถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แต่ในมือเขามีจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชากองร้อยที่ 4 แห่งกองพันทหารม้าที่ 6 จดหมายมี 2 ฉบับ

โดยฉบับที่ 1 เขียนไว้ว่า
"กระผมส่งเด็กผู้ปรารถนาจะรับใช้ชาติการเป็นทหารมาให้ท่าน เขาถูกทิ้งที่บ้านผมตั้งแต่ยังเป็นทารก กระผมมีลูกของตัวเองที่ต้องเลียงดูถึง 10 คน และไม่อาจดูแลเขาได้อีกต่อไป
หากท่านไม่ต้องการเขาก็ฆ่าหรือแขวนคอเขาก็แล้วกัน"

จดหมายอีกฉบับลงในปี 1812 คนเขียนอาจเป็นมารดาแท้ๆ ของเด็กหนุ่มผู้นั้น
เขียนไว้ว่า
"ดูแลลูกดิฉันด้วย พ่อของเขาอยู่กองพันทหารม้าที่ 6"
แต่ถึงอย่างไรผู้บังคับการกองร้อยที่ 4 ที่เป็นผู้รับจดหมายกับไม่เชื่อถืออะไรกับจดหมายนั้น จึงส่งเด็กหนุ่มไปให้ตำรวจและ ถูกจับส่งเข้าคุกในฐานะคนจรจัด ในระหว่างเขาถูกคุมขัง

ผู้คุมสังเกตว่าเขาสามารถอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานๆ ชอบอยู่ในที่มืดๆ และเคลื่อนไหวในความมืดได้ดี เขารักในการเล่นม้าไม้ ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ขนมปังและน้ำ เมื่อส่งกระดาษให้เขาจะเขียนคำว่า "ทหารม้า" กับ "คาสปาร์ เฮาเซอร์" ซึ่งสันนิษฐานว่านี้คงเป็นชื่อและนามสกุลเขา กิริยาคล้ายเด็กหัดเดิน และมองสิ่งรอบตัวก็เหมือนเป็นของแปลกใหม่ทุกอย่าง ผู้คุมจะชอบจึงสอนให้เขาฝึกพูด และเขียน

ภายใน 6 สัปดาห์ออกมาเขาก็สามารถเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ได้ เขาเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็ถูกขังในที่ห้องมืดๆ ทั้งวัน มีแต่ม้าไม้และหุ่นไม้เป็นของเล่น และไม่เคยเห็นใครหรือได้ยินใครกับใครมาก่อนเลย เมื่อเขาตื่นมาก็มีขนมปังกับน้ำมาวางไว้ให้ บางครั้งน้ำก็มีรสเฝื่อนๆ และบางครั้งเมื่อเขาหลับและตื่นขึ้นมาก็พบว่าผมเผ้าและเล็บก็ถูกเล็มเรียบร้อย
มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่ได้ติดต่อคนอื่น เมื่อมีมือยืนออกมาห้องขังพร้อมกระดาษและปากกาและสอนให้เขเขียนสามคำคือ ทหารม้าและ คาสปาร์ เฮาเซอร์ และต่อมาก็พบว่าตัวเองกะโผลกกระเผลกอยู่ในเมืองนูเร็มเบิร์ก

และแล้วเรื่องเล่าของคาร์ปาร์ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขนานใหญ่ในหมู่ชาวเมืองนูเร็มเบิร์ก มีการประกาศหาเบาะแสของเขาอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อมูลอะไรได้เลย มีแต่ข่าวลือบางก็ว่าคาสปาร์เป็นลูกของซาตานบ้าง มาจากต่างดาวบ้าง บ้างก็เชื่อว่าเขาอาจมีเชื้อพระวงค์ และแล้วก็เกิดเหตุลึกลับขึ้น

เมื่อเคาสปาร์ถูกปล่อยตัวจากที่คุมขัง เขาได้ไปอยู่กับกับศาสตราจารย์ จอร์จ ดอร์เมอร์ เขาพยายามสอนให้เขามีความรู้กว้างขวาง
แต่แล้ววันวันหนึ่งเรื่องลึกลับก็เกิดเมื่อดอร์เมอร์กลับมาบ้านมา พบว่าคาสปาร์นอนจมกองเลือดอยู่ที่ห้องใต้ทุนบ้าน โดยมีบาดแผลที่หน้าและลำคอ แต่ไม่ถึงตาย เมื่อคาร์ปาร์ได้สติเขาเล่าว่าถูกชายสวมหน้ากากคนหนึ่งเข้ามาในบ้านและทำร้ายเขา จนข่าวลือนี้แพร่สะพัดจนชาวบ้านลือว่าพระญาติที่ขึ้นครองบัลลังก์บาเดนอาจจ้างนักฆ่ามาเพื่อกำจัดรัชทายาทที่แท้จริง

แต่กระนั้นยังมีหลายคนคิดว่าคาสปาร์เป็นจอมโกหก เขาอาจสร้างเรื่องที่ถูกทำร้ายเพื่อเรียกร้องความสนใจ ต่อมา ลอร์คสแตนโฮปเกิดรู้สึกสนใจเรื่องราวของเด็กหนุ่มนี้ขึ้นมา และขอรับเป็นผู้ดูแลคาสปาร์ เขาพาคาสปาร์เดินทางตามราชสำนักเล็กๆ ในยุโรป ทั้งยังพยายามพิสูจน์ว่าคาสปาร์เป็นลูกของผู้ดี แต่ความพยายามของเขากลับล้มเหลว และเขาก็เริ่มหมดความสนใจต่อตัวคาสปาร์แล้ว จึงทิ้งเด็กนี้ไว้ให้กับ โจฮันน์ เมเยอร์ ครูสอนศาสนาใจแคบ ที่เมืองอังสบาคใกล้ๆ นูเร็มเบิร์กเป็นผู้ดูแล โดยในขณะนั้นคาลปาร์อายุ 21 ปีแล้ว และเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกหัดเข้าปกหนังสือ

เย็นวันที่ 14 ธันวาคม 1833 คาสปาร์วิ่งพรวดพราดกลับบ้านของเมเยอร์โดยมีบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกด้านซ้าย เขาบอกว่าถูกชายคนหนึ่งแทงขณะที่เขากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา หาว่าเขากุเรื่องขึ้นและทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนครั้งที่แล้ว ซึ่งกว่าเมเยอร์จะเชื่อและเรียกหมอก็สายเกินไปแล้ว เพราะ อีกสามวันต่อมาคาสปาร์ก็ได้

ในที่เกิดเหตุนั้น ตำรวจพบกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ภายในมีกระดาษเขียนข้อความด้วยตัวอักษรกลับด้านที่ต้องใช้กระจกส่องอ่าน มันเขียนไว้ว่า
"คาสปาร์จะบอกให้ว่าผมคือใคร ผมอยู่ที่หมู่บ้าน....................... ชายแดนบาวาเรีย ผมชื่อ MLO"
และผลสุดท้ายตำรวจไม่ทราบคนที่เข้ามาแทงคาสปาร์ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน คดีนี้จึงไขปริศนาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ส่วนศพของตาร์ปาสเขาถูกฝังที่สุสานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อังสปาคพร้อมปริศนาอีกมากมายในตัวเขาที่ไขไม่ออกจนถึงทุกวันนี้

เรื่องราวของคาสปาร์ยังคงเป็นปริศนาที่ถกถียงกันอย่างไม่สิ้นสุดเป็นเวลานาน จนถึงปัจจุบันได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และหลักฐานในประวัติศาสตร์มาแก้ไขในปริศนา ผลก็ออกมาดังนี้.......................

คาสปาร์เป็นเชื้อพระวงศ์จริงหรือ?
ข่าวลือคาสปาร์เป็นเชื้อพระวงศ์น่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้างเพราะในปี 1812 เวลาเดียวกับที่คาสปาร์ถูกนำไปทิ้งที่บ้านของใครสักคนนั้น แกรน์ดยุคคาร์ล และ แกรนด์ดัชเชส สเตฟานี แห่งบาเดน มีโอรสคนแหน่งเป็นเพศชาย แต่แพทย์บอกว่าเด็กตายตั้งแต่เกิดเพราะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทำให้แกรนด์และแกรนด์ดัชเชสไม่มีโอรสอีกเลย จนเมื่อแกรนด์สิ้นพระชนม์ในปี 1829 บัลลังก์ก็ถูกเปลี่ยนและหลังที่แกรนด์ตายใน 1 สัปดาห์ต่อมา ก็เป็นวันที่คาสปาร์ เฮาเซอร์ เดินทางเข้ามาในนูเร็มเบิร์ก จึงเป็นเหตุการณ์สวนสงสัยว่าคาร์ปาสจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่

จนเมื่อปี 1996 DER SPIEGEL นิตยสารชื่อดังของเยอรมันได้มีการปรกาศให้รู้ดำรู้แดงเลยว่าคาสปาร์เป็นเชื้อพระวงศ์หรือไม่ โดยนำการเกงชั้นในที่เชื่อกันว่าเป็นของคาร์ปาร์ซึ่งมีรอยเลือดติดอยู่มาตรวจสอบวิเคราะห์ DNA มาเปรียบเทียบกับคนในราชวงศ์บาเดนที่ยังมีชีวิตอีก 2 คน พบว่า DNA ของคาสปาร์ไม่ตรงกับของใครสักคน
แม้ผลจะเป็นดั่งที่ว่า แต่หลายฝ่ายไม่ยอมรับ เพราะมันส่งผลทำให้ปริศนาที่จุดประกายของจินตนาการถูกทำลาย และส่งผลต่อแหล่งท่องเที่ยวของคาสปาร์ได้ ซึ่งหลังจากนั้นมาก็ไม่มีการพิสูจน์ใดๆ เกี่ยวกับชาติกำเนิดของคาสปาร์อีก

ไขปริศนาของคาสปาร์
หากพิจารณาจากคำบอกเล่าของคาสปาร์ดีๆ จะพบว่าเขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ
อยากแรกเลยที่เขาอ้างว่ากินแต่ขนมปังกับน้ำนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะถ้าเป็นเช่นนี้จริงเขาก็อาจตายเพราะโรคขาดสารอาหารไปนานแล้ว คนที่ฆ่าเขาน่าจะเป็นคนที่เขารู้จัก ครั้งแรกที่เขาถูกทำลายอาจทำให้เขากลัวมากกว่ามุ่งหมายเอาชีวิต และคาร์ปาสอาจมีเงื่อนงำบางอย่างไม่อยากจะบอก และข้อความในกระดาษที่พบในที่เกิดเหตุเป็นของคาสปาร์เอง
และเรื่องราวแท้จริงของคาสปาร์เป็นอย่างไรกันแน่ แจน บอนเดสัน นักค้นคว้าแห่งมหาวิทยาลัยเวลส์เสนอข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดดังนี้ โดยสันนิษฐานจากเหตุการณ์สภาพแวดล้อม จึงพอสรุปเรื่องได้ดังนี้
คาสปาร์น่าจะเป็นเด็กของลูกสาวชาวบ้านที่ฐานะดีพอสมควรและเธอคงท้องไม่มีพ่อกับทหารม้าคนหนึ่งในกองทพ ในแคว้นทิรอลในปี 1812 จากนั้นทหารคนนั้นก็ทิ้งเธอไป คาดว่าเธอน่าจะอาศัยอยู่กับบิดา มารดา และทั้งสองรู้สึกอับอายเรื่องลูกสาวท้องไม่มีพ่อ จึงปกปิดเป็นความลับ เลี้ยงดูคาสปาร์อยู่แต่ในบ้าน เล่นม้าไม้และหมาไม้

คาร์ปาร์ในวัยเด็กน่าจะเป็นคนที่ถูกละเลยทอดทิ้ง ทำให้เขาเชื่อมช้า เชื่อมซึม และมีอาการชักกระตุกบนใบหน้าชั่วครั้งชั่วคราว และเป็นโลกขาดสารอาหารเพราะมีอาหารประจำเป็นขนมปัง จนเมื่อเขาโตขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี มารดาอาจมีชายคนรักใหม่จึงหาทางกำจัดคาสปาร์ที่เป็นส่วนเกิน จึงได้จ้างชายเร่ร่อนคนหนึ่งนำไปทิ้ง และชายคนเร่ร่อนคนนี้เองที่เป็นคนสอนให้เขาแต่งจดหมายปลอมและเรื่องราวหลักฐานให้คาสปาร์ จนเมื่อเขาเบื่อกับความหัวทึบของคาสปาร์ จึงปล่อยเขาที่นูเร็มเบริกแล้วหนีไป

เมื่อคาสปาร์เห็นเมืองใหญ่เขาไม่รู้เรื่อง และงุนงงสับสน ตกใจกลัว จนพูดไม่รู้เรื่อง และถูกคุมขัง จนกระทั้งเขาเล่าเรื่องอันเวทนาแก่คนอื่นก็พบว่าเขาได้รับความใส่ใจและความปรานีจากคนรอบข้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาจึงยึดเรื่องราวแบบนี้ตลอดมา
ฝ่ายคนเร่ร่อนนั้นเมื่อเห็นคาสปาร์ได้ดีในบ้านดอเมอร์จึงเล็ดลอดพบเขา อาจขู่ให้เด็กร่วมมือขโมยของในบ้าน แต่คาดว่าคาสปาร์ไม่ยอมทำตาม เขาจึงทำร้ายคาสปาร์แล้วหนีไป โดยที่คารสปาร์ไม่บอกความจริงและเมื่อลอร์ดสแตนโฮปมาช่วยเหลือ คาสปาร์จึงโกหกว่าเขารู้จักภาฮังการีได้บ้าง และอาจเป็นลูกผีดี จนสแนโฮปมองคาสปาร์ว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

ปลายปี 1833 คนเร่ร่อนผู้กำชาติกำเนิดของคาสปาร์อาจอยู่ในสภาวะอับจน เขานัดให้คาสปาร์นำเงินมาให้เขา แต่เมื่อถึงวันนัดคาสปาร์ไม่มีเงินมาให้และยังเขียนจดหมายปริศนาขู่เปิดโปงเขาอีก เขาจึงโกรธมากจึงแทงคาสปาร์และหนีไป ฝ่ายคาสปาร์ก็ตายไปโดยไม่กล้าพูดความจริงอีกเช่นเดิมและนี้เป็นเพียงสันนิษฐานเรื่องราวที่น่าจะเป็นไปได้โดยการประมวลจากเหตุการณ์ ณ แวดล้อม แต่จะถูกหรือไม่นั้น ไม่มีใครรู้และอาจไม่รู้ตลอดไป
สรุปคือคาสปาร์ น่าสงสารเนอะ

รายการบล็อกของฉัน