Dybbuk Box กล่องขังวิญญาน

Dybbuk Box เป็นกล่องใส่ไวน์ที่มีหน้าตาธรรมดาๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับตำนานความหลอนซ่อนอยู่ เพราะมันเป็นกล่องอาถรรพ์ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ากันว่ามีดวงวิญญาณชั่วร้ายถูกกักขังเอาไว้ในนั้น

แต่ภายหลังเจ้ากล่องดังกล่าว ถูกนำมาขายปะปนกับสิ่งของทั่วไปบนโลกออนไลน์ จากนั้นความสยดสยองก็ได้เกิดขึ้นกับผู้ที่ซื้อไปในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

สำหรับ Dybbuk Box ถูกนำไปประกาศขายผ่านงานประมูลเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 โดยผู้ขายเป็นหลานสาวของคุณยายชาวยิวผู้เป็นเจ้าของกล่องไวน์ลึกลับ

แต่ด้วยเหตุที่คุณยายต้องการให้ทำการฝังมันลงไปพร้อมกับร่างของเธอ มันกลับขัดกับขนบธรรมเนียมของชาวยิว จนต้องนำออกมาประกาศขายแทน  

Kevin Mannis นักสะสมของโบราณ คือผู้สนใจซื้อไปครอบครองต่อ และเก็บไว้ในห้องชั้นใต้ดิน จู่ๆ ก็มีเกิดเหตุการณ์ไฟตกไฟดับ ประตูแต่ละบานถูกล็อคอย่างปริศนา และเริ่มมีเสียงแปลกประหลาดมาจากชั้นใต้ดินที่เก็บกล่องไม้เอาไว้

หลังจากนั้นเขาก็นำไปมอบให้กับคุณแม่เพื่อเป็นของขวัญ แต่แล้วเธอก็เกิดอาการช็อคกระทันหันถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล พร้อมกับพูดทีละตัวอักษรเป็นคำว่า ‘H-A-T-E G-I-F-T’ พร้อมกับอาการหลั่งน้ำตาที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

แม้ว่าจะทำการมอบให้กับใครไปก็ตาม เขาก็จะได้รับกล่องไวน์ไม้อาถรรพ์นี้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว และไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ตาม เขาเริ่มมีอาการฝันร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และค้นพบว่าคนในครอบครัว ที่เข้าใกล้กล่องนี้ก็มีอาการฝันร้ายเช่นเดียวกัน  

  เมื่อรู้แล้วว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นเพราะกล่องดังกล่าว เขาก็ได้ทำการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจนหลับไปหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งหายใจรดต้นคออยู่ ทันใดนั้นก็หันไปเจอกับร่างเงาขนาดใหญ่พุ่งหายไป

และสุดท้ายแล้ว Kevin ก็ได้นำกล่องนี้ไปขายใน eBay พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนกระทั่ง Jason Haxton ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์ในมิสซูรีได้มาซื้อไป และได้เขียนบันทึกเรื่องราวแปลกๆ ที่ได้พบจากกล่อง Dybbuk เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ เรื่องราวของ Dybbuk Box ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง The Possession (2012) อีกด้วย เพื่อนๆ ลองไปหาชมดูได้น้า

ลูกแมวดำจรจัดถูกช่วยเหลือ โตมาถึงรู้ว่ามันคือแมวแวมไพร์

ลูกแมวดำจรจัดถูกช่วยเหลือ โตมาถึงรู้ว่ามันคือแมวแวมไพร์

บางคนเชื่อว่า แมวดำคือสัญลักษณ์ของความโชคร้าย หรือไม่ก็เป็นมีความเกี่ยวข้องกับภูติผีวิญญาณ แต่ใครที่เป็นทาสแมวคงมองแมวดำต่างออกไป เพราะยังไงมันก็ดูน่ารัก ไม่เห็นจะสยองตรงไหน แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณยังไม่ได้เจอเจ้าเหมียวตัวนี้

นี่คือ ‘มังกี้’ แมวดำที่มีลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพราะมันมีเขี้ยวยาวเหมือนแดรกคูล่า ที่ดูราวกับหลุดมาจากหนังสยองขวัญก็ไม่ปาน

แต่เบื้องหลังชีวิตของมังกี้ ไม่ได้น่าสยองแต่อย่างใด เพราะมันเคยเป็นแมวจรจัดที่ถูกช่วยเหลือในนิวยอร์กมาก่อน

ในตอนนั้นเอง มนุษย์นามว่า นิโคล ไรน์ซี ขับรถเกือบจะชนเข้ากับลูกแมวดำตัวนี้ เธอจึงตัดสินใจลงไปดูว่ามันปลอดภัยดีหรือไม่

เจ้าเหมียวโชคดีที่ไม่โดนรถชน แต่สภาพของมันย่ำแย่ไม่แพ้กัน ลูกแมวดำผอมแห้งจากโรคขาดสารอาหาร เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ม ดวงตามีแผลติดเชื้อขนาดใหญ่ จนแทบจะมองไม่เห็น

นิโคลตัดสินใจรับมันมาเลี้ยง 

และตั้งชื่อให้มันเก๋ๆ ว่า ‘มังกี้’

“ตอนแรกฉันพยายามจะหาบ้านให้กับมังกี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มตระหนักว่าฉันขาดมันไม่ได้”

นิโคลกล่าวว่าเมื่อมังกี้เริ่มโตขึ้น เขี้ยวของมันก็เริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ จนดูแปลกกว่าแมวทั่วไป ดูเหมือนมันจะกลายเป็น ‘แวมไพร์’ ไปเสียแล้ว!

นิโคลเริ่มกังวลเกี่ยวกับความผิดปกตินี้และพามันไปหาหมอ แต่หมอบอกว่า มังกี้สบายดี และเขี้ยวของมันไม่เป็นอันตรายอะไร หมอบอกว่า ลักษณะเขี้ยวที่ยาวผิดปกติของแมวสามารถเกิดขึ้นได้  

แต่เป็นเคสที่ค่อนข้างหายาก

ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า เขี้ยวของมังกี้เป็นของปลอม เวลาที่เธอโพสต์ภาพเจ้ามังกี้ พวกเขาก็คิดว่า เธอต้องตัดต่อภาพแน่ๆ

แน่นอนว่าเปล่าเลย! นี่คือแมวแวมไพร์ตัวจริงเสียงจริง แถมมันยังดูน่ารักมากๆ อีกด้วย แล้วคุณล่ะ คิดแบบนั้นหรือเปล่า ?

แมวฟันเหยิน

Zombieซอมบี้ กับเหตุผลที่อาจทำให้เกิดขึ้นจริง

ค้นหา

Zombieซอมบี้ กับเหตุผลที่อาจทำให้เกิดขึ้นจริง!!? ผีดิบเดินได้ คนที่เสียชีวิตและศพกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

หรือที่เราเรียกกันว่า ซอมบี้ ที่มักปรากฏให้เราได้เห็นอยู่บนครั้งในภาพยนตร์และซีรีย์หลายๆเรื่อง แต่คุณเคยสงสัยไหมครับว่า ซอมบี้ที่เราเห็นอยู่ในหนังนั้น มันมีที่มาอย่างไร และมันจะมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้จริงๆหรือ?

หรืออันที่จริง มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัวแต่หากว่ามันจะขึ้นจริง แล้วอะไรล่ะ ที่พอจะเป็นสาเหตุให้เกิดซอมบี้ขึ้นมาได้

ซอมบี้เป็นผีที่ไม่ได้มีตำนานเก่าแก่เหมือนกับผีอื่นๆ เพราะมันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อช่วงประมาณร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง เราอาจจะเข้าใจว่าซอมบี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นมาจากชาวตะวันตก แต่จริงๆ แล้วต้นกำเนิดของศพคืนชีพเหล่านี้

มีที่มาจากประเทศเฮติ ที่อยู่ในหมู่เกาะอินดีสตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ ชาวเฮติสืบเชื้อสายมาจากทาสผิวสีชาวแอฟริกัน ทีถูกนักค้าทาสชาวฝรั่งเศสพามาจากแอฟริกา เพื่อมาใช้แรงงานในไร่อ้อย พวกเขาจึงมีลัทธิความเชื่อแปลกๆ ที่ฝังลึกในหมู่ชาวเฮติ นั่นคือความเชื่อเรื่องลัทธิวูดู ไสยศาสตร์ เวทมนต์ดำ

ชนชาวเฮติข้ึนชื่อเรื่องความยากจน แล้วก็มีโรคระบาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากสุขอนามัยที่ไม่ดีพอในการดำรงชีวิต

จึงทำให้มีตัวเลขคนเสียชีวิตเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากตลอดเวลา และด้วยสาเหตุนี้เอง จึงเกิดเป็นตำนานของซอมบี้ เพราะเมื่อมีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ลัทธิวูดูที่มีความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ได้แอบขโมยศพของพวกเขา เพื่อใช้ทำการประกอบกิจกรรมเสกเวทมนต์ดำ และคุณไสยสารพัด ชาวเฮติเชื่อว่าซอมบี้ เป็นศพที่เดินได้ เป็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพด้วยอำนาจเวทมนตร์ของนักบวชในลัทธิวูดู ลักษณะการเดินของซอมบี้จะดูคล้ายหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ ปราศจากแววตา และจะทำตามคำสั่งของหมอผีที่ปลุกพวกมันขึ้นมาเท่านั้นซอมบี้ มีรากศัพท์มาจากคำว่า Zonbi / Zombi ตามท้องถิ่นไฮติ คำดังกล่าวไม่ได้หมายถึงศพเดินดินกินเนื้อคน

แต่เป็นคำที่ใช้เรียกเหมารวมวิญญาณ ภูตผี และสิ่งลี้ลับที่ปรากฏกายมาในเวลากลางคืน เป็นทาสของหมอผี หรือผู้ทรงคุณไสยดำ ที่มีอำนาจเรียกเอาคนตายกลับขึ้นมาจากหลุมศพได้ซอมบี้เฮติสามารถเดินได้ กินอาหารได้ แต่อาหารที่กินจะต้องเป็นอาหารชนิดพิเศษที่หมอผีจัดหามาให้เท่านั้น

โดยหน้าที่หลักของซอมบี้ในความเชื่อนี้คือการถูกปลุกขึ้นมาเพื่อใช้แรงงาน สามารถใช้ชีวิตปะปนอยู่ในสังคมได้ เพราะซอมบี้แห่งเฮติจะไม่ทำร้ายคน แต่เน้นทำงานตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งแตกต่างจากคำนิยามของซอมบี้ยุคปัจจุบันที่พวกเราได้ดูจากสื่อต่างๆ

ซอมบี้แห่งเฮติในคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ก็คือขบวนการค้ามนุษย์ใช้แรงงานเถื่อนนั่นเอง ชาวตะวันตกเกิดความสงสัยว่าทำไม ชาวเฮติที่ถูกเรียกว่าซอมบี้เหล่านั้น ดูเป็นคนมากกว่าผี เพียงแต่มีอาการแข็งทื่อ ขาดชีวิตชีวา แววตาว่างเปล่าคล้ายกับศพเดินได้ แต่กลับทำงานได้ดุจช้างสารทั้งวันทั้งคืน มีแรงผิดมนุษย์ แม้ชาวเฮติจะพากันเชื่อว่าเกิดจากคุณไสยวูดู

แต่ในทางวิทยาศาสตร์คิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล และค้นพบว่าที่จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้ชาวเฮติมีลักษณะเหมือนกับซอมบี้ มาจากพิษของพืชและสัตว์บางชนิดผสมกัน และน่าจะเป็นการถูกวางยา มากกว่าเป็นพลังเวทมนตร์หมอผี Wade Davis,ผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพื้นบ้านแห่ง Harvardสันนิฐาษว่าสภาวะ Zombie ที่ชาวเฮติเข้าใจ น่าจะเกิดจากการปรุงยาพิษขั้นรุนแรงที่มีส่วนผสมของพิษ 2 ประเภทได้แก่ พิษจากปลาปักเป้า (Tetrodotoxin)

ซึ่งมีผลทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตชั่วคราว และพิษจากดอก Datura ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้สูญเสียสติและการควบคุมตัวเอง เมื่อนำพิษทั้งสองอย่างมาผสมกัน เมื่อป้ายเข้าไปทางบาดแผลของเหยื่อ ก็จะได้เป็นยาพิษที่มีผลทำให้เหยื่อหมดสติหลับลึกเป็นเวลานานจนดูคล้ายเสียชีวิต จากนั้นก็จะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา แต่ก็ไม่มีสติกลับมา หรือเข้าใจว่าตัวเองตายไปแล้ว กลับฟื้นขึ้นมาจริงๆ จนกลายเป็นอาการทางจิตและไม่สามารถกลับเข้าไปอยู่ในสังคมคนปกติได้อีกต่อไป ดูไร้ชีวิตจิตใจ ลักษณะเหมือนซอมบี้ และถูกนำไปใช้แรงงานในที่สุด

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีคนเห็นด้วยไปหมดเพราะในทฤษฎีของ  Davis  นั้น  ก็ยังโดนตั้งตำถามในหลายจุดเช่นหมอผีชาวเฮติไม่น่าจะปรุงยาที่สามารถทำให้คนหมดสติได้นานขนาดนั้น รวมถึงการปรุงยาพิษที่รุนแรงจนยากเกินจะกะเกณฑ์ว่าให้ออกฤทธิ์ได้ในระดับไหน อีกทั้งยังเคยมีกรณีที่เข้าข่ายเดียวกับเรื่องซอมบี้แห่งเฮติ ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ก็มีการนำเสนอข่าวกันเป็นวงกว้าง คือเรื่องของนาย Clairvius Narcisse ที่เสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูงและไตวาย

หมอประจำเขตวินิจฉัยว่าเขาเสียชีวิตและจัดแจงวางร่างเขาในโลงศพจนเป็นที่รับรู้กันในครอบครัวว่าชายหนุ่มเสียชีวิตแล้วโดยสิ้นเชิง กระทั่งเมื่อพอผ่านไป18 ปี ผู้คนในหมู่บ้านเกิดแตกตื่น เมื่อพบนาย Clairvius Narcisse ที่เสียชีวิตไปแล้วออกมาเดินเพ่นพาน ซึ่งเขาเล่าว่า เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย และถูกนำตัวไป เพื่อใช้ทำงานร่วมกับศพอื่นอีกมากมายในไร่อ้อย ซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายซอมบี้แห่งเฮติจากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ค่อนข้างมากเลยทีเดียว แม้ว่าเรื่องราวที่เล่ามานั้นมันจะผ่านมานานแล้วนะครับ แต่ในปัจจุบัน มันก็มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ผู้คนมีอาการคล้ายๆ หรือไม่ต่างจากซอมบี้เลยครับ นั้นก็คือ อาการที่เปลี่ยนผู้คนให้คล้ายกับซอมบี้ ซึ่งสาเหตุนั้นก็มาจากยาเสพติดประเภทต่างๆนั้นเองครับ เมื่อประมาณสิงหาคมปีที่แล้ว

เป็นข่าวโด่งดังมากๆ ที่ฟลอริดา เมื่อมีเด็กหนุ่มวัย 19 ปี ชื่อ Austin Harrouff เกิดคลุ้มคลั่งและไปแทงเพื่อนบ้านที่เป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งจนตาย ยังไม่พอ.. เขายังกัดกินและใช้ฟันของเขาแทะใบหน้าของเหยื่ออย่างเอร็ดอร่อย สร้างความสยดสยองให้กับเจ้าหน้าที่ กว่าจะควบคุมฆาตกรรายนี้ได้เล่นเอาเจ้าหน้าที่เหนื่อยกายและเหนื่อยใจเลยทีเดียว เพราะยิงปืนช็อตไฟฟ้าก็ไม่ได้ผล ใช้กำลังตำรวจก็ไม่ได้ผล

แม้แต่ให้สุนัขตำรวจเข้าไปกัดก็ยังไม่ได้ผล ฆาตกรยังแทะและกัดกินอย่างไร้อารมณ์ จนในที่สุดสยบฤทธิ์บ้าคลั่งนี้ได้ด้วยตำรวจถึง 4 นายและสุนัขตำรวจอีก1 ตัว       

พอจับได้และปล่อยให้ฤทธิ์ยาหมดก็เริ่มสอบสวน จนได้รู้ความจริงว่า Austin และเพื่อนบ้านไม่เคยทะเลาะหรือมีปัญหาอะไรมาก่อนเลย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะฤทธิ์ของของยาเสพติดที่ชื่อ Flakka และก็ยังมีอีกหลายเคสนะครับ 

ที่มีอาการคล้ายกับซอมบี้เพราะยาเสพติด อย่างชายหนุ่มที่มีลักษณะคล้ายคนเมา เดินโซซัดโซเซ เอาหัวมาโขกหน้ารถบัสอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวด ในประเทศบลาซิล และอีกคลิป เป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่กระบะท้ายรถตำรวจ มีท่าทีคลุ้มคลั่ง ตาแข็ง คล้ายกับซอมบี้ไม่มีผิดและก็ยังมีเหตุณ์การต่างอีกมากมายที่คล้ายๆกันนี้เกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกมุมโลกในยุคปัจจุบัน 

แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดซอมบี้นั้น มีเพียงแค่ยาเสพ หรือยาพิษที่ปรุงแต่งขึ้นมาเพียงเท่านี้เองหรือ แน่นอนครับ ว่ามีอีกหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดซอมบี้ขึ้นมาได้ และข้อมูลต่อจากนี้อาจจะทำให้คุณต้องช็อคไปเลยล่ะครับ

ติดชมคลิปต่างๆคลิกติดตามได้

มันคืออะไรกันแน่ มือปริศนาโผล่ลากเด็กลงไปในน้ำ ระหว่างพายเรือออกหาปลา

มันคืออะไรกันแน่! มือปริศนาโผล่ลากเด็กลงไปในน้ำ ระหว่างพายเรือออกหาปลา

เรื่องราวที่ถูกแชร์ไปทั่วโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กที่มีชื่อว่า "Ps Man" ได้โพสต์คลิปวีดีโอ ที่น่าสยองขวัญ เมื่อชาวบ้านออกมาหาปลาและสุดท้ายเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

คลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่ชาวบ้าน กำลังพายเรือออกหาปลา ซึ่งคนถ่ายคลิปนั้นฉายไฟไปที่ผู้ชาย และเด็ก ที่อยู่ในเรือรำดังกล่าว แต่ขณะที่กำลังหาปลากันอยู่นั้น ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่ออยู่ๆเด็กคนดังกล่าว ก็ตกลงไปในน้ำ จนคนบนเรือต้องรีบกระโดดลงไปช่วย สุดท้ายนำตัวเด็กขึ้นมาบนเรือได้อย่างหวุดหวิด

เมื่อย้อนไปดูคลิปดังกล่าวอย่างช้าๆ ในจังหวะที่เด็กกำลังนั่งอยู่บนเรือนั้น ได้เหมือนมี สิ่งแปลกปลอม คล้ายมือ แต่เป็นสีดำ ได้คว้ามือของเด็กคนดังกล่าว แล้วดึงเด็กลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งคลิปนี้ยังไม่มี

👉รายงานว่ามาจากประเทศใด และยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่าเรื่องราวดังกล่าวนั้น สร้างขึ้นมาหรือไม่ แต่ได้ถูกแชร์ออกไปมากกว่า ห้าหมื่นครั้ง และมีคนดูถึงสี่ล้านคนด้วยกัน