ลองมาอ่านเรื่อง จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆ จนตกตะกอนแล้วจิตใต้สำนึกไม่ได้เชื่อมต่อกับทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดังนั้นจึงไม่รับรู้ว่า เห็นอะไร ได้ยินอะไร แต่จะบันทึกเฉพาะส่วนที่เป็นความรู้สึกพร้อมกับภาพในจินตนาการเท่านั้นหากคุณรู้สึกอิจฉาริษยาในความสำเร็จ การได้เลื่อนตำแหน่งหรือความร่ำรวยของผู้อื่นจิตใต้สำนึกก็จะเข้าใจว่า คุณไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้
จึงบันดาลให้คุณไม่มีโอกาสได้พบดังนั้นจึงควรร่วมแสดงความยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อส่งสัญญาณ ไปยังจิตใต้สำนึกว่า คุณก็ต้องการประสบสิ่งเหล่านี้เช่นกันจิตใต้สำนึกจะไม่เข้าใจสมมติของโลก เช่นจำนวนเงิน แต่จะบันทึกไว้ในรูปของความรู้สึกแทนดังนั้นคนที่ทำบุญสิบบาท ด้วยความรู้สึกศรัทธาเต็มเปี่ยม กับคนที่ทำบุญแสนบาทด้วยความศรัทธาเท่ากันข้อมูลที่จะบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกก็จะเท่ากัน จิตใต้สำนึกจะแยกไม่ออกระหว่างภาพในจินตนาการกับภาพจาประสบการณ์จริงดังนั้น
การที่คุณสร้างจินตนาการในใจขึ้น ก็เหมือนกับเป็นการบอกจิตใต้สำนึกบันทึกภาพนี้ไว้บันดาลให้เกิดขึ้นจริงต่อไปจิตใต้สำนึกเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ต่างจากจิตสำนึกซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิดและสมอง
จิตใต้สำนึกไม่เข้าใจภาษา แต่จะบันทึกเฉพาะสิ่งที่เป็นความรู้สึก จึงไม่เข้าใจคำว่า "ไม่" "อย่า" ดังนั้นคุณจึงควรคิดแต่ทางบวก อย่าไปคิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ เช่นไม่ควรคิดว่าฉันไม่อยากอ้วนแต่ให้เปลี่ยนเป็นรูปร่างในฝันของฉันคือผอมเพรียวเมื่อคุณฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่ดิดเกิดขึ้นจริงแล้วจะพบว่าสิ่งดีๆ เข้ามาสู่ชีวิตคุณมากมายอย่างไม่น่าเชื่อแต่ทั้งนี้การจินตนาการภาพในใจนั้น จะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้หากคุณมีความอยาก เกิดขึ้นในใจเพราะความอยากหรือพุทธศาสนาเรียกว่า ตัณหา เป็นตัวปิดกั้นศักยภาพการทำงานของพลังจิตใต้สำนึก เพราะความอยาก ทำให้คุณวิตกกังวล รุ่มร้อน ไม่สงบ และผลที่ตามมาคือความไม่เชื่อมั่น และเกิดความลังเลสงสัย ดังนั้นต้องลดอยาก หยุดอยาก และไม่คิดอยาก แต่จงเปลี่ยนเป็นความเชื่อแทน