ดิฉันเป็นครูประจำชั้น ป.5 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวพุทธมณฑล ซึ่งไม่ไกลจากบ้านนัก แต่ดิฉันมักจะกลับถึงบ้านค่ำมืดทุกวัน เพราะหลังจากโรงเรียนเลิกตอนบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ดิฉันยังต้องสอนพิเศษต่ออีกสองชั่วโมง
หลังจากนั้นก็ต้องตามไปสอนพิเศษลูกศิษย์ถึงบ้านอีกหนึ่งราย ใช้เวลาสองชั่วโมงเหมือนกัน...และนั่นก็ทำให้ดิฉันต้องเจอกับประสบการณ์ขนหัวลุก!
"น้องโอ" เป็นเด็กผู้ชายน่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน แต่น่าหนักใจมากตรงที่แกไม่ชอบเรื่องเรียนเอาซะเลย ไม่ใช่โง่นะคะ เพียงแต่ไม่อยากเรียนซะงั้น ทำให้ผลการเรียนต่ำมาก...และแน่ละ! คุณพ่อคุณแม่กลุ้มใจเป็นที่สุด เพราะปีหน้าก็ต้องไปสอบเข้า ม.1 แล้ว
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็เลยมาขอร้องดิฉันให้ไปสอนตัวต่อตัวในช่วงเย็น ซึ่งเป็นงานที่ยากลำบากจริงๆ
ก่อนหกโมงเย็น ดิฉันจะไปถึงบ้านน้องโอ รอให้ลูกศิษย์สุดแสบอาบน้ำกินข้าวให้เรียบร้อยแล้วลงมาทำการบ้านกัน...ความลำบากอยู่ตรงนี้ละค่ะ เด็กที่ไม่รักเรียนจะอิดออดจนเราอ่อนใจ...ที่จริงราวทุ่มครึ่งดิฉันควรจะกลับบ้านได้แล้ว แต่บางคืนกว่าจะสอนการบ้านเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแน่ะค่ะ
คืนที่เกิดเหตุก็เช่นกัน!
น้องโอไม่ยอมเข้าใจเลขที่ดิฉันสอนซะที ถึงกับเป็นน้ำหูน้ำตาเลยทีเดียว ดิฉันต้องค่อยๆ ปลอบและให้กำลังใจ พยายามอารมณ์เย็นที่สุด...และแล้วก็เสร็จจนได้ แต่พอเหลือบมองนาฬิกา โอ้โฮ! สามทุ่มจะครึ่งแล้วเรอะเนี่ย?
ดิฉันโทรศัพท์บอกทางบ้านว่าไม่ต้องห่วงนะ ปลอดภัยดี กำลังจะกลับแล้ว จากนั้นก็ลาพ่อกับแม่น้องโอ พวกเขาเกรงใจดิฉันมาก และให้เงินค่าแท็กซี่มาเยอะเชียว แต่ดิฉันขอไม่รับ โดยบอกว่าบ้านอยู่ห่างไปไม่กี่กิโลเมตร ดิฉันนั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้านเหมือนเดิมก็สะดวกดีอยู่แล้ว
ซอยบ้านน้องโอค่อนข้างลึกจากถนนใหญ่ แต่ไม่เปลี่ยว บ้านช่องหนาแน่นและมีไฟถนนสว่างไสว มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
ทว่า คืนนั้นเมื่อก้าวออกจากประตูบ้านน้องโอ ดิฉันรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาเฉยๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร รู้แต่ลมแรงเหมือนกัน...นี่ละค่ะ ปลายฝนต้นหนาว!
ยอดไม้เอนไหวซู่ซ่า เสียงใบไม้แห้งแกรกกรากลากไปกับถนน เอ...คืนนี้ผู้คนเข้าบ้านกันหมด ถนนว่างเปล่า ดูสว่างเยือกเย็นอยู่ในแสงไฟ...
ทันใดนั้น ดิฉันสะดุดหัวคะมำ ใจหายวาบ นึกว่าจะล้มลงไปฟาดพื้นแล้วซิ แต่ดีนะที่ยั้งตัวไว้ได้ กระนั้นก็รู้สึกขวัญหาย หัวใจเต้นแรง ตกใจมากจนตัวชา...พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องแปลกใจ เพราะเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากดิฉันไปราวไม่ถึง 10 เมตร
เอ๊ะ! มาได้ยังไง? เมื่อกี้ไม่เห็น หรือว่านัยน์ตาเราไม่ดีเอง?
มอเตอร์ไซค์คันนั้นจอดตั้งขาตั้งเดี่ยว คนขี่นั่งคร่อมอานคล้ายจะรอผู้โดยสารเข้าไปหา ตอนสะดุดตาตะกี้ ข้อเท้าดิฉันพลิกไปหน่อยเลยแพลงค่ะ ปวดตุ๊บๆ เชียวละ แต่ก็ไม่เป็นไร...พอเดินเข้าไปถึง ดิฉันก็บอกจุดหมายปลายทางเสียงใสชัดเจน
คนขับหันมาช้าๆ โดยไหล่ของเขาไม่ขยับเขยื้อนเลย มีเพียงศีรษะที่หมุนมาเผชิญหน้ากับดิฉัน...
เอ๊ะ! อะไรนั่น หน้าเขาเป็นอะไร ดำปี๋ไปซีกหนึ่งอย่างนั้น! ดิฉันเพ่งมอง ทีแรกคิดว่าคงเป็นปานขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช่หรอกค่ะ ดิฉันแทบลืมหายใจเมื่อจ้องตากับเขา...ตาคู่นั้นเหมือนจะไร้แวว ใบหน้าเฉยเมย เลื่อนลอย...
และแล้ว ดิฉันก็ถอยกรูด ร้องหวีดอย่างลืมตัว สีดำเป็นแถบบนใบหน้าเขาไม่ใช่ปานหรอกค่ะ นี่มันเป็นใบหน้าของซากศพกำลังเน่า เนื้อดำและเปื่อยยุ่ย ขณะที่หน้าอีกซีกหนึ่งยังดูคล้ายปกติ
ใครจะอยู่ต่อล่ะคะ? ดิฉันหันหลังได้ก็วิ่งกลับไปที่ประตูบ้านน้องโอ..ตะปบมือกดออดอย่างบ้าคลั่ง...แม่น้องโอวิ่งเข้ามารับเข้าบ้าน ทุกคนตกใจที่เห็นดิฉันหวาดกลัวแทบเสียสติ
สิ่งที่ดิฉันพบคือผีอย่างไม่ต้องสงสัย หลายปีก่อนมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างถูกผู้ร้ายจี้ชิงทรัพย์ และฆ่าทิ้งในซอยนี้ เวลาผ่านไปนาน แต่วิญญาณที่น่าสงสารยังสิงสู่อยู่ที่นั่น
ดิฉันต้องแจ้งทางบ้านว่าไม่สบาย ต้องค้างบ้านน้องโอ ดีนะที่รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์
พ่อแม่น้องโอขอให้ดิฉันสอนลูกเขาต่อไป แต่นับจากนั้น คุณพ่อน้องโอต้องขับรถมาส่งถึงบ้านดิฉันทุกวัน เพราะดิฉันไม่ยอมเดินในซอยนั้นตามลำพังอีกเลยค่ะ