ในบรรดาต้นไม้ทั้งหลาย รู้สึกว่าพวกว่านจะมีความลึกลับไม่น้อยหน้าใคร ทั้งสรรพคุณด้านคงกระพันชาตรี เป็นยาสมุนไพร บางทีก็บอกว่ามีเทวดารักษา หรือมีภูตผีสิงอยู่ อย่างเช่นว่านพวกนี้
ว่านผีกระสือ , ว่านผีปอบ , ว่านผีโพง ต้นและหัวของว่านชนิดนี้มีลักษณะคล้ายขมิ้นอ้อย สีขาว รสฉุนร้อน เมื่อหัวแก่มีธาตุปรอทลงกิน มีพรายเป็นแสงแมงคาเรืองในเวลากลางคืน มีสรรพคุณอยู่ยงคงกระพัน
แต่บางตำราก็ว่าผีโพงนั้น เกิดกับคนที่มีว่านหรือเลี้ยงว่านยาอันมีฤทธิ์แรง
กล้า ไม่ใช้เฉพาะว่านผีกระสือ และไม่ได้บอกด้วยว่าว่านยาที่ว่านั้นมีว่าน
อะไรบ้าง
ในเวลากลางคืนตอนดึก ๆ โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกพรำ ๆ ว่านชนิดนี้ จะออกหากินแบบเดียวกับผีกระสือ จะมีดวงไฟเล็กๆ สว่างเรืองๆ อยู่ที่ปลายจมูก และหยดลงเป็นหยดๆ เหมือนหยดน้ำ
ผีโพงจะออกหากินตามหนองน้ำ หรือทุ่งนาหลังฝนตก อาหารของผีโพงคือกบ และเขียด ซึ่งผีโพงจะกินด้วยการจับมาดูดเอาเมือกกินทีละตัวๆ
โดยปกติ ผีโพงจะกลัวคน แต่ถ้าหากใครทำให้เจ็บใจ ผีโพงจะเอาไม้คานของแม่ม่ายพุ่งข้ามหลังคาบ้าน แล้วในทีสุดคนนั้นก็จะพบกับความพินาศวอดวาย
ที่น่าสังเกตก็คือ ผีโพงนั้นจะมีหน้าตาคล้ายกับเจ้าของหรือผู้ปลูกว่าน
แต่เดี๋ยวนี้ว่านชนิดนี้ไม่ค่อยมีใครนิยมแล้ว แทบจะสาปสูญจากวงการว่าน เพราะถือว่าเป็นอัปมงคล
ว่านผมผีพราย มีลักษณะเป็นเส้นสีดำกับสีน้ำตาลเข้มเหมือนเส้นผมคน แต่เส้นใหญ่และหยาบกว่า ขึ้นอยู่ตามป่าลึก ไม่มีลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ แต่จะพันอยู่กับกิ่งไม้จากต้นอื่นๆ และห้อยย้อยลงมา
มีภูติที่สูงด้วยอิทธิฤทธิ์เฝ้ารักษาอยู่ ยามค่ำคืนจะเห็นเป็นดวงไฟลอยวูบวาบอยู่บริเวณชุมว่าน ต้องผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าเท่านั้นจึงจะเข้าไปเอามาได้ หากไม่เก่งจริงเป็นอันต้องวิ่งป่าราบเป็นบ้าเป็นบอไปเลยทีเดียว
มีอิทธิคุณทางด้านแคล้วคลาดป้องกันภัยได้เป็นอย่างดี และช่วยให้การอธิษฐานสัมฤทธิ์ผลเร็วขึ้น ไม่สามารถนำมาปลูกเพาะพันธุ์ได้
ว่านเหม่ดอยี เป็นว่านจากพม่า ข้ามาในเมืองไทยหลายสิบปีแล้ว พ่อค้าหัวใสโฆษณาว่าเป็นว่านวิเศษเป็นมงคล ตั้งชื่อกันว่า "ว่านนางพญาหงสาวดี" แต่โดยความเป็นจริง สรรพคุณของว่านชนิดนี้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ว่าปลูกเลี้ยงไว้แล้วจะให้โชคลาภ ทำให้มีผู้หลงเชื่อแย่งกันซื้อมาเลี้ยงเอาไว้ตามบ้านเรือน
แต่ทางพม่าเขาถือว่าเป็นว่านสะเดาะเคราะห์ ใช้ทางไสยศาสตร์บางแขนง จะไม่นำเข้าบ้านหรือร้านค้าเด็ดขาด อย่างดีก็ปล่อยเอาไว้ตามวัดวาอาราม
ลักษณะของต้นมีใบหนาแข็ง สีเขียวสด มีดอกสีเหลือง เช่นเดียวกับต้นยางลำต้นเป็นปล้องๆ ชอบขึ้นตามเชิงเขาที่มีลำธารไหลผ่าน และตามพื้นที่ชุ่มชื่นทั่วไป
ปลูกง่าย ตัดปล้องมาเพาะก็จะงอกออกมาเหมือนกับพวกขิง ข่า ตะไคร้ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร นิยมปลูกในกระถาง มีกลิ่นเหม็นซากเน่า
ประวัติของว่านต้นนี้ ภาษาพม่าคำว่า "เหม่ดอยี" แปลเป็นไทยว่า "นางพญาผีดิบ" หรือ "แม่มด" ทางพม่าเขาถือกันว่าเป็นว่านที่มีอำนาจอาถรรพณ์ลี้ลับ เหมือนกับพวก "นางกล้วยตานี" หรือ "นางไม้ - นางตะเคียน"
ในวันนักขัตฤกษ์ สุนัขจะเห่าหอนตลอดทั้งคืน เด็กพากันร้องไห้จ้าสะดุ้งผวา
เพราะภูตในว่านจะปรากฏร่างออกมาให้เห็น เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม นุ่งขาวห่มขาว ผมยาวประบ่า
หากผู้ใดนำมาปลูกเลี้ยงไว้ในบ้านจะต้องเซ่นไหว้บูชา มิฉะนั้นจะถึงกาลวิบัติ อับโชคลาภและเกิดอาเภทต่างๆ
มีเรื่องเล่าว่า เจ้าของบ้านรายหนึ่งปลูกว่านี้ แล้วภรรยาล้มป่วยหนักและตายในที่สุด ต้องยกกระถางว่าน "นางพญาหงษาวดี" ไปให้คนอื่นเลี้ยง
อีกรายที่ อ. หนองเบน จ.นครสวรรค์ เล่าว่า นับตั้งแต่ได้ว่านต้นนี้มาเลี้ยงไว้ในบ้าน ตกกลางคืนจะมีเสียงผู้หญิงร้องไห้อย่างโหยหวนในยามดึกสงัดทุกคืน พยายามฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหนแน่ แล้วก็จับได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากว่าน "เหม่ดอยี" นั่นเอง
เจ้าของเกิดความกลัวขนหัวลุก เลยตัดสินใจยกกระถางทุ่มทิ้ง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ยินเสียงร้องประหลาดนั้นอีกเลย