บ้านผมอยู่ชลบุรี อ.ศรีราชา เขตตำบลบึง ติดกับวัดจุกกะเฌอ เคยเป็นเด็กวัดนี้มาก่อน ออกจากโรงเรียนก็มาช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาตามประสาเด็กบ้านนอก เมื่อเอ่ยถึงวัดจุกกะเฌอที่ผมเคยอยู่นี้นักเลงพระทั้งหลายคงยังไม่ลืมพระดีศรีเมืองชลกันนะครับ
หลวงพ่อเริ่ม ปรโม (พระครูวิริยาภรณ์) เจ้าอาวาสวัดจุกกะเฌอรูปนี้ แม้ท่านจะมรณภาพไปหลายปีแล้วก็ตาม เมื่อตอนผมครบบวชก็ได้บวชที่วัดของท่านนี่เอง ท่านเป็นพระนักพัฒนาจริงๆ สร้างศาลาการเปรียญหลายหลังโดยที่ไม่ต้องเขียนแบบแปลน ท่านมีของที่ปลุกเสกและลูกศิษย์ที่นับถือมากมาย เช่น ล็อกเกตรูปเหมือน, พระปิดตา, พระกริ่งปรโม ที่เคยลงในข่าวสดของ "อริยะเผดียงธรรม"
ทุกวันนี้กลายเป็นของหายากไปแล้ว!
ขอเข้าเรื่องที่ผมอยากเล่าให้แฟนๆ ฟังต่อนะครับ
เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีมาแล้ว บริเวณใกล้ๆ กับวัดจุกกะเฌอมีหนองน้ำขนาดใหญ่ มีดอกบัว จอก แหน ต้นกกและดงหญ้าขึ้นรกครึ้มเต็มไปหมด เหมาะที่จะให้วัวควายลงไปกินหญ้าและน้ำในหนองดังกล่าว
ผมเป็นเด็กเลี้ยงควายอีกคนหนึ่ง ที่พ่อใช้ควาย 2 ตัวเสร็จแล้วผมก็จะไล่ลงหนองน้ำที่มีอาหารคือหญ้าอ่อนให้เขาได้กิน จากนั้นก็เล่นกันตามประสาเด็กๆ
วันที่เกิดเหตุเล่นกันเพลินจนมืดค่ำ เพื่อนๆ แยกย้ายกันไป ผมเป็นคนสุดท้ายที่ไล่ควายขึ้นจากหนองน้ำ เพื่อนำเข้าไปในคอกบริเวณหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั้นมากนัก
สมัยนั้นทางที่เดินกลับบ้านแม้จะไม่ไกล แต่มันเงียบและวังเวงมาก ในหมู่บ้านมีเพียงแสงตะเกียงจากบ้านเรือนที่อยู่ห่างๆ กันเท่านั้น บรรยากาศมืดสลัวแทบจะมองไม่ค่อยเห็นทางเลย
ผมเดินไล่เจ้าเพื่อนยากที่ช่วยให้เรามีข้าวกินทั้ง 2 ตัวไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เสียวสันหลังเหมือนมีใครตามหลังมายัง งั้นแหละ
เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม มันยิ่งชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งทางเข้าบ้านตรงมุมเลี้ยวเข้าวัดที่ต้นไทรใหญ่ ขึ้นปกคลุมอยู่มืดครึ้มเข้าไปอีก ใต้ต้นไทรมีทางเกวียนและโคลนแฉะๆ ที่ต้องย่ำไป...และย่ำไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด จนใกล้จะถึงบ้านเข้าไปทุกทีแล้ว!
ตอนนั้นเดินพลางเหลียวซ้ายแลขวาพลาง ใจคอเต้นตึ้กตั้กด้วยความหวาดระแวงตามประสาเด็ก
ทันใดนั้นเอง ในความมืดที่พอมองเห็นได้ระยะ 4-5 ก้าว มีหมาดำตัวใหญ่ สูงเกือบเท่าควายเห็นจะได้ เดินผ่านหน้าผมไปในด้านหลังต้นไทรใหญ่...ก่อนที่จะหายลับไปมันยังหันมาจ้องมองผมด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ...หมานรกตัวนั้นไม่มีขาเลยแม้แต่ข้างเดียว!
ผมรู้สึกใจหายวาบเหมือนหล่นวูบลงไปในนรกอเวจีลึกล้ำราวกับไม่มีวันสิ้นสุดลงเลย...
เท่านั้นเองที่ผมจำได้ ทั้งคนและควายต่างแตกตื่นวิ่งกระจาย ผมเองร้องเอะอะโหวกโหวยไม่เป็นภาษามนุษย์... เมื่อถึงบ้านก็ยังอกสั่นขวัญแขวนจนพูดอะไรไม่ออก รุ่งขึ้นถึงกับจับไข้อยู่อีกหลายวัน พร่ำเพ้อถึงปีศาจร้ายที่ปรากฏกายหลอกหลอน...ซึ่งผมมารู้เอาตอนหลัง
พ่อแม่ผมเป็นห่วงว่าอาการจะทรุดหนักลงจนยากจะแก้ไข ต้องไปหาหมอพื้นบ้านมาเรียกขวัญ ทำพิธีให้ผมจึงหายเจ็บไข้ ไม่งั้นอาจจะถึงกับล้มตายไปเพราะฤทธิ์เดชของหมาจากนรกอเวจีตัวนั้นก็เป็นได้
ปัจจุบันนี้บริเวณที่ผมเคยโดนผีหลอกกลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมของเครือสหพัฒน์ไปหมดแล้ว เหลือแต่ความทรงจำอันแสนสยดสยองที่เคยมีเมื่อครั้งเยาว์วัย คิดถึงทีไรขนลุกทุกทีเลยครับ! บรื๋อออ...
เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย manman