
Custom Search
ตำนานสังหารโหดบนเรือ เดอะ ปาลาติเน (The Palatine) เพลิงปีศาจแห่งท้องทะเลในช่วงระหว่างวันคริสต์มาสและวันส่งท้ายปีเก่า ชาวบ้านบนเกาะบล็อค เกาะเล็ก ๆ ในรัฐโรดไอแลนด์เขตนิวอิงแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มักเห็นเปลวเพลิงลวงตาจากท้องทะเล เป็นภาพสะท้อนของเรือที่ลุกเป็นไฟ
ห่างออกไปทางตอนเหนือของเกาะ เชื่อกันว่าเป็นเรือผีซึ่งสาบสูญไปในศตวรรษที่ 18
ย้อนรอย : เรือเดินสมุทร เดอะปริ้นเซสออกัสต้า (The Princess Augusta)ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1738 เรือปริ๊นเซสออกัสต้า (The Princess Augusta) หรือที่รู้จักในนามเรือเดอะปาลาติเน (The Palatine) แล่นออกจากเมืองรอตเตอร์ดัมมุ่งหน้าไปยังเมืองฟิลาเดลเฟีย ดินแดนใหม่ในอเมริกาภายใต้การบัญชาการของกัปตันจอร์
จลอง พร้อมด้วยลูกเรือ 14 คนและ
ผู้โดยสารกว่า 240 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพชาวเยอรมัน ทว่าแทนที่จะได้พบชีวิตใหม่ที่ปลายทาง พวกเขากลับต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมโหดร้ายแทน!
หลังจากเรือเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ น้ำจืดบนเรือก็ถูกปนเปื้อนด้วยเชื้อโรคร้าย ส่งผลให้เกิดโรคระบาดคร่าชีวิตผู้โดยสารกว่าครึ่งหนึ่ง รวมทั้งลูกเรือเจ็ดคนและกัปตัน ไม่เพียงแค่นั้น กัปตันรักษาการและลูกเรือยังต้องเผชิญกับคลื่นลมซึ่งพัดมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ บริเวณนอกชายฝั่งนิวอิงแลนด์เรือเริ่มส่อเค้าอับปาง เสากระโดงท้ายเรือหักลง
สถานการณ์ยิ่งแย่ลงเมื่อพายุหิมะโหมปกคลุมพร้อมกับพายุลมกระหน่ำซึ่งบดบังทัศนวิสัย เรือพยายามบ่ายหน้าไปทางเหนือ
หวังผ่านเข้าสู่เส้นทางระหว่างเกาะบล็อคและเกาะลอง ก่อนจะจบลงด้วยการเกยตื้นบริเวณหาดแซนดี้พอยต์ทางตอนเหนือของเกาะบล็อคในวันที่ 27 ธันวาคม ปี 1738ชะตากรรมของผู้โดยสารต่อจาก
นั้นถูกเล่าต่อกันมาปากต่อปากเป็น
ตำนานสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
☼ ตำนานที่ 1 : กัปตันและสมุนลูกเรือผู้ชั่วร้าย ตำนานนี้เล่าว่า
ในขณะที่เรือทอดสมอห่างจากชายฝั่งนิวอิงแลนด์ประมาณ 10 ไมล์ เพื่อต้านพายุร้ายผู้โดยสารที่เหลืออยู่ต่างตื่นตระหนก และต้องทนทรมานกับความหิวโหย อิดโรย หลังเกิดโรคระบาดคร่าชีวิตคนบนเรือ เสบียงอาหารร่อยหรอลง ต้นหนเรือที่ชื่อ แอนดริว บรูค และลูกเรือส่วนหนึ่งเข้ายึดอำนาจ ฉวยโอกาสขูดรีดทรัพย์สินของผู้โดยสาร
จากคำให้การที่ค้นพบในปีค.ศ.1925 ผู้รอดชีวิตได้เล่า
ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า กัปตันรักษาการและลูกเรือพยายามขัดขวางมิให้ผู้โดยสารขึ้นฝั่ง แต่กลับปล้นชิงทรัพย์สินของผู้โดยสารและสังหารใครก็ตามที่ต่อต้าน จากนั้นก็วางเพลิงเผาไหม้เรือก่อนจะหนีลงเรือเล็กเพื่อขึ้นฝั่ง ทอดทิ้งผู้โดยสารให้เอาตัวรอดเอง จนถูกไฟคลอกเสียชีวิตในที่สุด
โชคดีที่ชาวบ้านบนเกาะบล็อคได้เห็นเหตุการณ์ จึงได้เข้าช่วยเหลือผู้โดยสารส่วนหนึ่งให้รอดพ้นจากเรืออับปาง และพากลับไปรักษาพยาบาลที่บ้านจนหายดี ทั้งยังได้ทำหลุมฝังศพให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตอีกด้วย
☼ ตำนานที่ 2 : ชาวเกาะใจเหี้ยม
ตำนานที่สองนี้เล่าต่อ ๆ กันโดยผู้ที่อยู่อาศัยนอกเกาะบล็อคถูกบันทึกไว้ในบทกวี “The Wreck of the Palatine” ของ John Greenleaf Whittier ในปี ค.ศ. 1867 ตำนานนี้เล่าว่า ขณะที่เรือกำลังเผชิญพายุร้ายอยู่นั้น ชาวเกาะบล็อคผู้ไร้ความปรานีได้ส่งสัญญาณปลอมเพื่อล่อลวงเรือให้เทียบฝั่ง
ตำนานที่สองนี้เล่าต่อ ๆ กันโดยผู้ที่อยู่อาศัยนอกเกาะบล็อคถูกบันทึกไว้ในบทกวี “The Wreck of the Palatine” ของ John Greenleaf Whittier ในปี ค.ศ. 1867 ตำนานนี้เล่าว่า ขณะที่เรือกำลังเผชิญพายุร้ายอยู่นั้น ชาวเกาะบล็อคผู้ไร้ความปรานีได้ส่งสัญญาณปลอมเพื่อล่อลวงเรือให้เทียบฝั่ง
ในบทกวีนั้นเขียนไว้ว่า สัญญาณไฟล่อลวงปรากฏเหนือโขดหิน เมื่อเรือถูกหลอกให้เทียบฝั่ง ชาวเกาะที่หิวกระหายก็ถลาลงเหมือนนกล่าเหยื่อ ตรงเข้าปล้นชิงเข่นฆ่าผู้โดยสารที่กำลังหิวโหยและเหน็บหนาว จากนั้นก็เผาเรือทิ้งและปล่อยให้เรือค่อย ๆ อับปางลงไปเพื่อปกบิดหลักฐานทั้งหมดให้มหาสมุทรกลายเป็นสุสานฝังร่างเหยื่อ
👉ดังบทกวีได้กล่าวไว้
🌬‘เพลิงวาววามสว่างโชติพิตโรธไหม้คละคลุ้งไอคราบเกลือเหนือหินผาลุกลามเผาเจ้ามอดม้วยด้วยไฟกล้า ช่างเย็นชาชั่วโฉดจนเกินใคร
ระเริงร่ารื่นรมย์เร่งเดินกลับ ทิ้งเรื่องลับดับลงทะเลใบ้ แม้นหินผายังเฉยเมยปล่อยเลยไป สรรพสิ่งใดต่างพ่ายแพ้แด่ความตาย’
☼ ตำนานที่ยังมีชีวิต : อาถรรพ์เปลวไฟปีศาจจากท้องทะเล
แม้เรืออับปางไปนานนับร้อยปีแล้ว แต่เรื่องราวของปาลาติเนไม่เคยจบ คนแถบนั้นอ้างว่าเมื่อมองออกไปนอกอ่าวของเกาะบล็อคในคืนมืดมิดของปลายเดือนธันวาคม จะมองเห็นประกายไฟเผาไหม้ลุกท่วมเรือลำหนึ่ง บางคนกล่าวว่านี่คือคำสาปอันเกิดจากเหตุการณ์สังหารโหดครั้งนั้น บ้างก็เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าส่งเรือปีศาจนั้นมา เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ชาวเกาะได้รับรู้ว่า พระองค์มิได้ลืมความชั่วร้ายของพวกเขา
แม้เรืออับปางไปนานนับร้อยปีแล้ว แต่เรื่องราวของปาลาติเนไม่เคยจบ คนแถบนั้นอ้างว่าเมื่อมองออกไปนอกอ่าวของเกาะบล็อคในคืนมืดมิดของปลายเดือนธันวาคม จะมองเห็นประกายไฟเผาไหม้ลุกท่วมเรือลำหนึ่ง บางคนกล่าวว่านี่คือคำสาปอันเกิดจากเหตุการณ์สังหารโหดครั้งนั้น บ้างก็เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าส่งเรือปีศาจนั้นมา เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ชาวเกาะได้รับรู้ว่า พระองค์มิได้ลืมความชั่วร้ายของพวกเขา
บ้างก็กล่าวว่านี่คือเรือผีที่ย้อนกลับมาหลอกหลอนใครก็ตามที่ทำลายมัน นอกจากนี้ ยังมีคนอ้างอีกด้วยว่ามองเห็นเงาร่างหญิงคนหนึ่งในเรือลำนั้นกำลังกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เชื่อกันว่าตอนที่เปลวไฟกำลังเผาไหม้เรืออยู่นั้น หญิงผู้หนึ่งพยายามกรีดร้องเพื่อปกป้องและยึดยื้อสมบัติของเธอ จนกระทั่งถูกไฟคลอกตายอย่างสยดสยอง อย่างไรก็ตามคนบนเกาะบล็อคกลับเห็นว่า เรือปีศาจเป็นเพียงลางไม่ดีซึ่งบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดสภาพอากาศที่เลวร้าย
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร จนวันนี้ก็ยังคงมีหลายต่อหลายคนที่อ้างว่ามักเห็นเปลวไฟสีส้มปรากฏอยู่ที่ตอนเหนือของเกาะบล็อค
หากผู้อ่านได้มีโอกาสไปเที่ยวเกาะบล็อคในช่วงระหว่างวันคริสต์มาสและวันปีใหม่ อย่าลืมมองออกไปนอกอ่าวของเกาะบล็อค และอย่าเผลอสะดุ้งหากเห็นประกายเรืองแสงน่าพรั่นพรึงปรากฏตรงเส้นขอบฟ้า