ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2563

เวเวลสบูร์กปราสาทแห่งความกลัวดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหน่วย SS

‘เวเวลสบูร์กปราสาทแห่งความกลัว’ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหน่วย SS ที่เชื่อกันว่านาซีใช้เป็นที่ทดลองพลังเหนือธรรมชาติ
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่สงครามโลกกำลังจะอุบัติขึ้น ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นช่วงที่พรรคนาซีกำลังอยู่ในช่วงเริ่มมีอำนาจ หลังจากที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยการแต่งตั้งของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ก็ดำเนินการวางรากฐานอำนาจของกองกำลังส่วนตัวอย่างหน่วย SS (Schutzstaffel) ให้กลายเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่และน่าเชื่อถือกว่าเดิม โดยมอบหมายให้ “ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์” จัดการหาสถานที่ใหม่เพื่อตั้งกองบัญชาการ ซึ่งมีโจทย์ว่าจะต้องสมกับฐานะหน่วยประจำพรรคนาซี
ฮิมม์เลอร์จึงตระเวนไปทั่วเยอรมนีเพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสม จนกระทั่งในปี 1933 ฮิมม์เลอร์ตัดสินใจเลือกปราสาทเวเวลสบูร์ก ที่ตั้งอยู่ในแคว้นเวสต์ฟาเลีย ซึ่งปราสาทแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นในปี 1603 นอกจากความเก่าแก่ของปราสาทแล้วสถานที่แห่งนี้ยังมีประวัติมาช้านาน เพราะมีการขุดค้นโครงกระดูกของชาวแซ็กซันเป็นจำนวนมาก (เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวเยอรมันที่มาตั้งรกรากตั้งแต่โบราณ) อีกทั้งยังมีโครงกระดูกของมนุษย์นีอันเดอร์ทัล ซึ่งก็บ่งบอกได้ว่าบริเวณที่ตั้งของปราสาทนั้นขลังสักแค่ไหน

ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าชายบิช็อปแห่งปาแดร์บอน ซึ่งหลังจากที่เจ้าของได้เสียชีวิตลงก็ตกเป็นของแผ่นดินโดยถูกใช้งานมาเรื่อย ยิ่งในศตวรรษที่ 17 สถานที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นทั้งกองบัญชาการและสถานที่พิจารณาคดีแม่มด ชายหญิงจำนวนนับแสนคนที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นแม่มดต้องถูกส่งมาสอบสวนภายในปราสาทแห่งนี้ โดยทั้งหมดจะถูกนำเข้าไปขังไว้ภายในคุกใต้ดินเพื่อรอการสอบสวน เป็นที่รู้กันดีว่าหากถูกเพ่งเล็งว่าเป็นแม่มดแล้วล่ะก็ผู้ที่ถูกสอบสวนจะต้องถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ จนต้องยอมรับสารภาพแม้ว่าจะไม่ได้ทำก็ตาม หลังจากรับสารภาพแล้วก็จะถูกส่งไปรับโทษ ซึ่งโทษก็คือการเผาทั้งเป็น

ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ฮิลเลอร์ถูกใจสถานที่นี้เป็นพิเศษเพราะเขาเชื่อว่าบริเวณหอคอยด้านเหนือของปราสาทนั้นมีพลังงานลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในซึ่งไม่ว่าใครก็ตามจะไม่สามารถที่จะทำลายมันลงได้ ฮิมม์เลอร์ต้องการทำให้ปราสาทแห่งนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมทางจิตใจของทหารหน่วย SS ไม่ต่างจากศาสนิกที่ยึดถือโบสถ์เป็นศูนย์รวมจิตใจ
ฮิมม์เลอร์เริ่มต้นโครงการพัฒนาปราสาทแห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่ที่เป็นมากกว่าศูนย์บัญชาการ เขาเริ่มนำพิธีสมัยโบราณมาใช้โดยในทุกๆ ปี ทหารหน่วย SS จะต้องทำพิธีบูชาดวงอาทิตย์และธรรมชาติ ไม่เพียงแค่นั้นในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันเกิดฮิตเลอร์ วันครบรอบการลอบสังหารที่ฮิตเลอร์รอดมาได้ก็ยังถูกนับเป็นวันสำคัญที่ทหารในหน่วย SS จะต้องมาทำพิธีรำลึก โดยฮิมม์เลอร์ฝันว่าทั้งสถานที่และพิธีกรรมต่างๆ ที่ทำกันในปราสาทแห่งนี้จะกลายเป็นศาสนาที่เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่เยอรมันยึดครอง

เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นสู่ตำแหน่งท่านผู้นำหรือ “ฟูเรอร์” ฮิมม์เลอร์ก็ถึงเวลาหันมาปรับปรุงปราสาทแห่งนี้ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยการย้ายประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆ ปราสาทออกไปและปรับปรุงให้เป็นเมืองที่มีแต่ทหาร SS อาศัยอยู่โดยมีการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ มากมายให้สะดวกสบายกว่าเดิมจนกลายเป็นเมืองในฝันอย่างแท้จริง
ฮิมม์เลอร์ปรับปรุงปราสาทเพิ่มเติมโดยปรับปรุงห้องโถงและนำโต๊ะกลมพร้อมด้วยเก้าอี้ 12 ตัวมาตั้งไว้ ซึ่งมีแนวคิดว่าเหล่าผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะกลมนั้นคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์เหมือนกษัตริย์อาเธอร์และอัศวิน นอกจากนี้ยังปรับปรุงให้ใต้ดินเพื่อใช้เป็นที่เก็บอัฐิของทหารในหน่วย SS ที่เสียชีวิตไปเปรียบประหนึ่งว่าเป็นที่พักพิงสุดท้ายของเหล่าอัศวิน

แต่สิ่งต่างๆ ที่ฮิมม์เลอร์ต้องการให้เกิดขึ้นนั้นล้วนแต่มาจากแรงงานของนักโทษจากค่ายกักกันที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งถูกเกณฑ์มาให้ทำงานต่างๆ ซึ่งแต่ละครั้งนั้นก็จะมีผู้เสียชีวิตมากมายจากสภาพความเป็นอยู่ที่อดอยาก ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 1,200 คนตลอดระยะเวลาการครองอำนาจของฮิตเลอร์
แต่จุดจบของปราสาทแห่งนี้ก็มาถึงเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรเริ่มบุกเข้ามาและมีทีท่าว่าจะเข้าถึงปราสาท ฮิมม์เลอร์ไม่อยากจะให้ทหารสัมพันธมิตรเข้าไปในปราสาทให้แปดเปื้อนจึงส่งหน่วยคอมมานโดลอบเข้าไปยังปราสาทเพื่อระเบิดให้แหลกเป็นจุณ ซึ่งแรงระเบิดนั้นส่งผลให้ปราสาททั้งหลังถล่มลงมาแต่ทว่าหอคอยทางทิศเหนือนั้นกลับไม่เป็นอะไร
การกระทำของฮิมม์เลอร์นั้นทำให้มีผู้สงสัยมากมายว่าเขาซ่อนอะไรไว้ในปราสาทถึงขนาดที่ว่าต้องส่งทหารเข้าไประเบิดทิ้ง บ้างก็ว่าฮิมม์เลอร์นั้นกำลังทดลองเกี่ยวกับพลังงานลึกลับที่ไม่มีอยู่บนโลกหรือแม้กระทั่งการเปิดประตูต่างมิติเพื่อแลกเปลี่ยนพลังกับปีศาจโดยใช้ชีวิตชาวยิวเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นเครื่องสังเวย ซึ่งความจริงก็ยังเป็นปริศนาว่ามีอะไรอยู่ในปราสาทกันแน่
ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ทั้งหลังโดยเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ภายในนั้นถูกสร้างให้มีสภาพเหมือนกับก่อนที่มันจะระเบิด ซึ่งก็มีเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นเสียงคำรามลึกลับและเงาคนที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณของนักโทษที่ถูกเกณฑ์มาปรับปรุงปราสาทจนปราสาทแห่งนี้ถูกขนานนามว่า “ปราสาทแห่ง
ความกลัว”
เรียบเรียง : S

รายการบล็อกของฉัน