ที่ที่หัวใจของเขาจะถูกตัดสินตาม ความดีที่ได้ทำไว้ยาม มีชีวิตอยู่ หากมีหัวใจบริสุทธิ์จริง ผู้ตายก็จะถูกส่งไปดินแดนอันสวยงามเพื่อชีวิตอันเป็นอมตะ ในดินแดนที่เรียกว่า ทุ่งต้นกก ชาวอียิปต์โบราณ เชื่อว่า ก่อนผู้ตายจะไปยังปรภพได้ ก็ต้องผ่านดินแดนใต้โลก อันเป็นที่ที่เต็มไป ด้วยมารร้าย สัตว์ที่ดุร้ายต่างๆ ซึ่งผู้ตายจะต้องอาศัยมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปกป้องให้เดินทางได้โดยปราศจากภัยร้ายมาแผ้วพาน มนตราเหล่านี้จารึกอยู่ในสมุดบันทึกที่เรียกว่า "มนตราสำหรับผู้ตาย" ซึ่งเป็น ตำราเขียนลงบน ม้วนกระดาษปาปีรุส และจะถูกฝังไปด้วยกันกับผู้ตายในปิรามิด และก็เป็นการเสร็จสิ้นวิธีการทำมัมมี่
นอกจากมัมมี่ฟาโร ซึ่งเป็นกษัตริย์แล้ว ชาวอียิปต์โบราณ ยังพบหีบนั้นจะสวยงามและหรูหรา ก็ขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ตายและญาติผู้ทำศพ การทำมัมมี่นั้นจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ และนักบวชโดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง นอกจากฟาโรห์แล้ว มีแต่ขุนนางและ คนรวยจึงจะมีสิทธิ นอกจากมัมมี่ที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังมีมัมมี่สัตว์เลี้ยงที่เจ้าของโปรดปราน รวมไปถึงมัมมี่ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ เช่น วัว แมว และ นกกระสาไอบิส
อีกด้วย
อีกด้วย
ในอียิปต์นอกจากจะทำมัมมี่กับมนุษย์แล้วถ้าเป็นสัตว์อันเป็นที่รักของตนแล้วเมื่อสัตว์นั้นตายลงก็จะทำมัมมี่เก็บไว้ด้วย ในรูปคือมัมมี่สุนัขล่าสัตว์กับมัมมี่ลิง อายุประมาณ3,500-4,000ปี มัมมี่สัตว์ทั้งสอง ชนิดนี้สันนิษฐานว่า จะเป็นของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 2 เนื่องจากสุสานฝังอยู่ใกล้กัน
โลงศพสำหรับมัมมี่ - ในยุคแรก โลงศพของชาวอียิปต์มีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาปิด และจารึกคำขอความคุ้มครองจากเทพเจ้าเอาไว้ที่ด้านข้าง และได้วิวัฒนาการตามการทำมัมมี่มาตามลำดับ ลักษณะของดลงจึงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูป!บซึ่งทำด้วยไม้และหินแข็ง อย่างหินแกรนิต มีการตบแต่งลวดลายของ!บศพทั้งภายนอกและภายใน จนในที่สุดได้มีการจำลองรูปคนโดยแกะสลักให้มีหน้าตาเป็นรูปคนยืนเหยียดตรงมือทั้งสองผสานไว้ที่หน้าอกดังที่เราพบเห็นกันทั่วไปตามหน้า ***.นิตยสาร** หรือภาพถ่าย
- สำหรับอวัยวะภายใน เมื่อมีการนำออกมาดองก็ต้องทำภาชนะสำหรับเก็บรักษา ซึ่งมีชื่อเรียกว่า คาโนปิค ( Canopic ) มาจากชื่อของ คาโนปัส ( Canopus ) นักรบแห่งเมนาเลียส ( Menaleus ) ซึ่งศพของเขาถูกเก็บไว้ในภาชนะรูปตุ่มมีฝาครอบซึ่งคาดนปิคนี้มีอยู่ถึง 4 ใบ เนื่องจากอวัยวะภายในของศพที่สำคัญถูกแบ่งออกเป็น 4 อย่าง ได้แก่ ตับ กระเพาะ ปอด และลำไส้ใหญ่ สำหรับหัวใจนั้นชาวอียิปต์จะไม่นำออก มาจากร่างของศพ
- ฝาครอบของคาโนปิค ต่อมาได้ถูกแกะสลักเป็นรูปของ "ผู้คุ้มครองทั้ง 4 " อันได้แก่ อิมเซตี้ ( Imsety ) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุมาอุเตฟ
( Dewau-Mautef ) แกะสลักเป็นรูปหัวสุนัข ฮาปิ ( Hapy ) แกะสลักเป็นรูปหัวลิง และ เคเบห์สเนเวท
( Kebehsnewet ) แกะสลักเป็นรุปหัวเหยี่ยวสิ่งที่บรรจุรวมอยู่ในโลงศพ
- นอกจากศำขอมัมมี่แล้วในการทำพิธีของชาวอียิปต์โบราณจะมีการนำข้าวของเครื่อใช้ที่สำคัญใส่ลงไปในโลงด้วย เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และอาวุธ ฯลฯ เพื่อให้ผู้ตายเอาไว้ใช้สอยดังนั้น!บศพจึงต้องทำเป็นหลายๆชั้นวางซ้อนกัน เพื่อจะให้ได้บรรจุข้าวของเครื่องใช้ และอีกทางหนึ่ง ก็เพื่อป้องกันการรบกวนศำโดยทำให้ซับซ้อนยากแก่การเปิด แต่กลับเป็นเครื่องท้าทายความสามารถของบรรดาเหล่าขดมยและมิจฉาชีพ จึงปรากฎว่าพระบรมศพหรือมัมมี่ขององค์ฟาดรห์ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เลยแม้แต่พระองค์เดียว เห็นจะมีแต่มัมี่ของ ตุตันคามัน
( Tutankhamun ) ฟาโรห์องค์หนึ่งซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อมีการค้นพบกลับเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก และนักอียิปต์ศาสตร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมัมมี่ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่มีการขุดพบมา
( Dewau-Mautef ) แกะสลักเป็นรูปหัวสุนัข ฮาปิ ( Hapy ) แกะสลักเป็นรูปหัวลิง และ เคเบห์สเนเวท
( Kebehsnewet ) แกะสลักเป็นรุปหัวเหยี่ยวสิ่งที่บรรจุรวมอยู่ในโลงศพ
- นอกจากศำขอมัมมี่แล้วในการทำพิธีของชาวอียิปต์โบราณจะมีการนำข้าวของเครื่อใช้ที่สำคัญใส่ลงไปในโลงด้วย เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และอาวุธ ฯลฯ เพื่อให้ผู้ตายเอาไว้ใช้สอยดังนั้น!บศพจึงต้องทำเป็นหลายๆชั้นวางซ้อนกัน เพื่อจะให้ได้บรรจุข้าวของเครื่องใช้ และอีกทางหนึ่ง ก็เพื่อป้องกันการรบกวนศำโดยทำให้ซับซ้อนยากแก่การเปิด แต่กลับเป็นเครื่องท้าทายความสามารถของบรรดาเหล่าขดมยและมิจฉาชีพ จึงปรากฎว่าพระบรมศพหรือมัมมี่ขององค์ฟาดรห์ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เลยแม้แต่พระองค์เดียว เห็นจะมีแต่มัมี่ของ ตุตันคามัน
( Tutankhamun ) ฟาโรห์องค์หนึ่งซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อมีการค้นพบกลับเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก และนักอียิปต์ศาสตร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมัมมี่ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่มีการขุดพบมา
- สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้สำหรับคนตายตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณคือ " คนรับใช้" ในยุคแรกใช้วิธีวาดภาพ การปั้นด้วยดินเหนียว หรือสีผึ้ง จนถึงการแกะสลักด้วยไม้ และได้มีการทำตัวแทนของคนรับใช้เป็นรูปมัมมี่เหมือนผู้ตายในยุคราชวงศ์ที่ 12 โดยบรรจุไว้ใน!บศพจำลองซึ่งเรียกว่า "ชาวับติ" ( Chawabti ) ซึ่งมีความหมายว่า " ผู้ขานรับ "
ปิรามิดสถานที่ฝังพระบรมศพ
- หลุม หรือสถานที่ฝังศพของชาวอียิปต์โบราณในยุคเริ่มแรก อาจทำอย่างง่ายๆด้วยการขุดหลุม ฝังในพื้นทราย ต่อมาจึงมีวิวัฒนาการเป็นหลมศพที่มีหลังคา และสำหรับสถานที่ของผู้มีฐานะดีหรือมี ความสำคัญเช่นองค์ฟาโรห์ก็ต้องทำให้วิจิตรพิสดารมากขึ้น จนเกิดการสร้างปิรามิดอันยิ่งใหญ่ในที่สุด
- หลุ่มฝังศพในยุคแรกๆเรียกว่า "มัสตาบา" ( Mastaba ) ลักษณะเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้าสร้างด้วยอิฐ ทำไว้เหนือหลุมศพ ต่อมาพัฒนาเป็นการสร้างด้วยหินจนกลายเป็นปิรามิดในยุคเริ่มต้น เรียกว่า ปิรามิดขั้นบันได ลักษณะเป็นทางสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงซ้อนจากใหญ่ไปหาเล็กซึ่งอยู่ทางสูงสุดยอด ต่อมามีการฉาบด้านทั้งสี่ให้เรียบ ส่วนภายนอกออกแบบเป็นห้องหับต่างๆ อย่างสลับซับซ้อนมีทางเดินสถานที่ไว้พระบรมศพขององค์ฟาโรห์ วิหารสำหรับสักการะพระบรมศพ และด้านนอกได้สร้างรูปแกะสลักอสุรกายสฟิงซ์หรือ!ครึ่งคนครึ่งสิงโต ไว้สำหรับเป็นผู้เฝ้าสุสานของฟาโรห์