เมอร์เรย์ตัดความรู้สึกฉงนทิ้ง และ รีบที่จะส่งหีบไปกรุงลอนดอนเพื่อจัดแสดง เมอร์เรย์จึงตัดสินใจจ้างบริษัทเดินเรือเพื่อขนหีบไปนครลอนดอน แต่ว่าสามวันหลังจากนั้น มีเหตุให้เขาได้ไปยิงปืนปรากฏว่า ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุโดนแขนเขาเปงแผลแหวะ หมอต้องตัดแขนทิ้งกลายเป็นคนพิการ อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้ต้องส่งหีบไปกับเรือล่วงหน้า ส่วนตัวเขาก็พักรักษาอาการที่ไคโรหลังจากที่เขาหายดีแล้ว เขาก็รีบเดินทางไปลอนดอนแต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ เพื่อนของเขาที่มีส่วนในการขนหีบพระศพ2คน และ หญิงรับใช้ชาวอียิปอีก1 พร้อมใจกันตายโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างไรก็ตาม พอเมอร์เรย์ไปถึงอังกฤษ เขาก็รีบจัดการนำหีบพระศพออกจากโกดังท่าเรือกลับบ้าน เขาตัดสินใจเปิดหีบออกดู เขาถึงกลับผงะ ก็เพราะว่า มัมมี่ที่เขาเห็นต่างจากที่เขาเห็นครั้งแรก มันดูเหมือนใบหน้าของคนมีชีวิตอยู่
จ้องมองเขาเขม็งด้วยความอาฆาต เมอร์เรย์จึงปักใจเชื่อสนิทเลยว่า สิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสทั้งหมดคือ คำสาป เมอร์เรย์จึงรีบหาหนทางเอาหีบออกไปให้พ้นตัว หญิงร่วมชั้นเรียนของเขารับอาสาจะรับไว้เอง ต่อมาแม่ของเธอล้มป่วยเสียชีวิต สามีทิ้ง แล้วตัวเธอก็เป็นประสาทไปเลย เมอร์เรย์เห็นท่าจะไม่ดีจึงคิดหาทางมอบต่อไปที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พิพิธภัณฑ์ก็แสนใจดีรับเฉยเลย แล้วก็เอามาจัดแสดง เปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเข้าชม เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังถ่ายภาพหีบพระศพอยู่ดีๆ ก็มีอันล้มตึงขาดใจตายคาที่เลย แค่นั้นยังไม่พอ นักอียิปวิทยาที่แตะต้องหีบ ก็นอนตายตาเหลือกคาเตียง กลายเป็นข่าวไปทั่วอังกฤษเลย ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์อังกฤษเลยตัดสินใจมอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินิวยอร์ค โดยจัดส่งไปทางเรือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และใหญ่ที่สุด นั่นคือ "เรือไททานิค"
เรือไททานิค เรือที่กล่าวกันว่าไม่มีวันจม แต่ถ้าคนรู้ว่าขนย้ายหีบพระศพก็คงจะกลัวกันแล้วไม่กล้าขึ้น เรือไททานิคเที่ยวแรกออกเดินทางจาก เซ้าแธมป์ตัน สู่นิวยอร์ค วันที่ 15 เมษา คศ 1912 แล้วทั่วโลกก็ต้องตะลึงกะข่าวที่ว่า เรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งอัปปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารเสียชีวิต 1498 คน ชะรอยเจ้าหญิงองค์นี้คงต้องการอยู่อย่างสงบ ปราศจากการรบกวน เธอจึงเลือกท้องน้ำที่ลึกที่สุดพร้อมด้วยบริวารติดตามอีก 1498 คน