ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

คนตายแล้ว…ไปเกิดได้อย่างไร...

คนตายแล้ว…ไปเกิดได้อย่างไร...
...พระราชสุทธิญาณมงคล...

กรรมที่กระทำในชาตินี้ไปแสดงผลในชาติหน้าได้อย่างไร มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตหรือศาสดาหลายท่าน ได้พยายามคิดค้น ว่าคนตายสูญไปเลย หรือคนตายแล้วไปเกิดได้อีก ถ้าไปเกิดได้อีกจะไปเกิดเป็นอะไร อย่างไร

สำหรับคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนตายแล้วไปเกิดอีกได้ และจะไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์อีกก็ได้ โดยจิตหรือวิญญาณนั้นมิได้เป็นอมตะไม่มีวันตาย หากแต่เกิดดับสืบต่อไปไม่ขาดสาย จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ รู้จักนึกคิดจดจำ จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่มีความเกิดดับสืบต่อกันมา มิได้หยุดนิ่ง และจิตนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่มีอำนาจสั่งการ เก็บอารมณ์ต่างๆไว้ในจิตแล้วค่อยแสดงออกมาใน 2 ลักษณะ คือ

1. การงานที่จิตกระทำ ได้แก่ การที่จิตรับอารมณ์ความรู้สึกจากสัมผัสทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเช่น การเห็น ได้ยิน คิด เป็นต้น

2. จิตเป็นภวังค์ ได้แก่ จิตไม่ได้รับอารมณ์ความรู้สึกจากสัมผัสทั้ง 6 แต่จิตก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิด ดับภวังค์ หมายถึง องค์แห่งภพ คือจิตตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติคือตาย ขณะใดที่จิตเป็นภวังค์ที่เห็นง่ายๆคือ คนกำลังหลับสนิท เพราะขณะหลับสนิทจะไม่รู้สึกตัวเลย แต่ขณะใดจิตมีความ รู้สึก จิตก็พ้นจากภวังค์ ความจริงขณะที่เราเห็นหรือได้ยินหรือคิด นั้น จิตก็มีอารมณ์ความ รู้สึก แล้วก็มีภวังคจิตขึ้นสลับอยู่ตลอดไป ทั้งนี้เป็นไปโดยรวดเร็วมาก เราจึงไม่รู้สึก

ตามพุทธภาษิต พระพุทธเจ้าทรงแบ่งความตายออกเป็นส่วนใหญ่ๆ ไว้เป็น 2 ประการ คือ
กาลมรณะ คือ ถึงเวลาที่จะต้องตาย
อกาลมรณะ คือ ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตาย
เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความตายเมื่อถึงเวลาตายก็มี ยังไม่ถึงเวลาแล้วตายก็มี อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำสัตว์ทั้งหลายให้ต้องเวียนเกิดเวียนตาย หรือต้องไปเกิดในภพใหม่ไม่ได้หยุดหย่อน ตายแล้วก็ต้องไปเกิด เพราะมีจิตปรารถนาที่จะไปเกิดใหม่อีก ความปรารถนานั้นเป็นพลังมหาศาลที่ไม่อาจสัมผัสได้ กำลังของความปรารถนาแต่อดีตนั้น สามารถส่งผลให้จนถึงปัจจุบันและอนาคตได้ ซึ่งความปรารถนานี้ก็คือ โลภะ ตัณหาดังนั้น จิตเป็นธรรมชาติที่รับอารมณ์ มีอารมณ์อยู่เสมอ และอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็ด้วยเหตุต่างๆกัน แต่สำหรับคนที่ใกล้จะตาย อารมณ์ในขณะใกล้จะตาย เรียกว่า กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์

1. ผู้ใดกระทำกรรมอะไรไว้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว เมื่อทำไว้มากๆ กรรมเหล่านั้นจะกระทำกับจิตเกิดเป็นอารมณ์ ทำให้จิตสร้างเป็นมโนภาพ ไปต่างๆนานา เช่น ฆ่าสัตว์ไว้มากๆ ก็มักจะเห็นการฆ่าสัตว์ อารมณ์นี้เป็นกรรมอารมณ์

2. ผู้ที่ใกล้จะตายเห็นนิมิตต่างๆ เช่น เห็นอุปกรณ์การกุศลที่เคยทำมา ขบวนแห่บวชนาค ทอดกฐิน อารมณ์นี้เป็นกรรมนิมิตอารมณ์

3. ผู้ใกล้ตายเกิดนิมิตเห็นถ้ำ เหว ปล่อง การทรมานสัตว์ ปราสาทราชวัง บางทีไม่มีในเมืองมนุษย์ อารมณ์นี้เป็นคตินิมิตอารมณ์
สัตว์ทั้งหลายขณะใกล้จะจุต คือตาย จะต้องเกิดกรรมหรือกรรมนิมิตหรือคตินิมิตขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะอารมณ์กรรมเหล่านี้เป็นกำลังงานที่สำคัญจะผลักดันให้ไปเกิดใหม่ ทำให้มีภพชาติสืบต่อไป
แน่นอนอารมณ์ครั้งสุดท้ายเป็นที่หมายว่าจะต้องไปเกิดตามที่ตนได้เห็น เหมือนเราทำแบบแปลนแผนผังไว้แล้วปลูกสร้างที่อยู่อาศัยตามแบบแปลนนั้นๆ เช่น ผู้ที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ย่อมเห็นครรภ์ของมารดา ผู้ที่จะไปเกิดยังเทวภูมิย่อมเห็นเทพยดา นางฟ้าหรือวิมาน ผู้ที่จะไปเกิดในนรกย่อมเห็นการเผาผลาญสัตว์ เห็นเปลวไฟ ผู้ที่จะไปเกิดเป็นเปรตก็เห็นปล่อง เห็นหุบเขาที่มืดมิด ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็เห็นสัตว์ เห็นเชิงเขา ชายน้ำ เป็นต้น

รายการบล็อกของฉัน