ชายแบกโลงศพที่ทุลลามอร์
เชื่อกันว่า ในบางครั้ง ดวงวิญญาณก็มาปรากฏร่างให้คนเราเห็น ก็เพื่อที่จะเตือนถึงเหตุร้ายที่จะเกิดในอนาคตกับบุคคลคนนั้น เหมือนดังเช่นเรื่องที่ลอร์ด ดัฟเฟอริน นักการทูตคนสำคัญของอังกฤษในสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย ได้ประสบด้วยตัวเอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1887 ขณะนั้น ท่านลอร์ดดัฟเฟอรินได้มาพักผ่อนอยู่กับสหายที่คฤหาสน์ในทุลลามอร์ ประเทศไอร์แลนด์ โดยในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังจะเคลิ้มหลับนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังขึ้นที่ด้านนอกและด้วยความสงสัย ลอร์ดดัฟเฟอรินจึงลุกไปยืนดูที่หน้าต่าง ซึ่งจากตรงนั้น ท่านเห็นชายผู้หนึ่งกำลังแบกโลงศพเดินผ่านไป
ลอร์ดดัฟเฟอรินรู้สึกแปลกใจ ที่เห็นคนแบกโลงศพเดินเข้ามาในอาณาบริเวณของคฤหาสน์ ท่านจึงรีบออกจากคฤหาสน์และตรงเข้าไปถามชายผู้นั้นว่า เพราะเหตุใดจึงเดินแบกโลงศพผ่านเข้ามาในพื้นที่ส่วนบุคคลในยามดึกเช่นนี้ ทว่าชายลึกลับกลับเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าท่านลอร์ด และมองด้วยสายตาเขม็งจนลอร์ดดัฟเฟอรินถึงกับผงะเนื่องจากดวงหน้าที่ปรากฏในแสงไฟสลัวนั้นดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก แต่ความน่าสะพรึงกลัวยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะในเวลาเพียงชั่วครู่เดียว ร่างของชายลึกลับก็ค่อยๆจางหายไปในความมืดยามราตรี
โชคดีที่ลอร์ดดัฟเฟอรินมีสติพอที่จะไม่ตกใจกลัวจนเกินขนาดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนเช้า ท่านลอร์ดก็ได้เล่าเรื่องของชายลึกลับให้กับสหายของท่านฟัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยืนยันว่า ที่นี่ไม่เคยมีใครพบเห็นภูตผีหรือวิญญาณมาก่อน
หลังจากเรื่องที่ทุลลามอร์ผ่านไปได้สิบปี ลอร์ดดัฟเฟอรินได้เดินทางไปรับหน้าที่เอกอัครราชทูตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในตอนนี้ ท่านลอร์ดแทบจะลืมเรื่องของวิญญาณลึกลับที่ทุลลลามอร์ไปแล้ว จนกระทั่งในวันหนึ่ง ท่านลอร์ดได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่โรงแรม แกรนต์โฮเตล ในกรุงปารีส
ลอร์ดดัฟเฟอรินเบิกตากว้างและก้าวถอยออกมาจากลิฟต์ ท่านลอร์ดตัดสินใจไม่ขึ้นลิฟต์เที่ยวนั้นและรอลิฟต์ตัวต่อไป และก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดเข้าหากัน พนักงานกดลิฟต์ผู้นั้นก็แสยะยิ้มอย่างน่าสยองขวัญให้ท่าน
ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง สายเคเบิลที่ดึงลิฟต์ก็ขาดสะบั้น เสียงกรีดร้องของผู้คนในลิฟต์ดังขึ้นแต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวก่อนที่จะมีเสียงโครมสนั่นดังตามมา เนื่องจากลิฟต์ตัวนั้นร่วงลงไปกระแทกกับพื้นเบื้องล่างพร้อมกับทุกชีวิตที่อยู่ในลิฟต์มรณะได้ดับดิ้นไปหมด ไม่เหลือแม้เพียงคนเดียว
ท่านลอร์ด ดัฟเฟอรินยืนมองเกตุร้ายเบื้องหน้าด้วยอาการตกตะลึง ถ้าหากว่าท่านลอร์ดก้าวเข้าไปในลิฟต์ด้วยแล้ว ท่านก็คงจะเป็นหนึ่งในศพที่แหลกเหลวอยู่เบื้องล่างเป็นแน่
หลังจากหน่วยกู้ภัยมาถึงและเก็บกู้ซากศพผู้เคราะห์ กลับปรากฏว่าในบรรดาศพที่อยู่ในลิฟต์ ไม่ปรากฏร่างของพนักงานกดลิฟต์ที่ลอร์ดดัฟเฟอรินเห็นแต่อย่างใด มันดูราวกับว่า พนักงานผู้นั้นได้ละลายหายไปก่อนที่ลิฟต์จะร่วงตกถึงพื้น
จากเหตุการณ์ทั้งหมด ลอร์ดดัฟเฟอรินเชื่อว่า ชายลึกลับแบกโลงศพที่ท่านพบเห็นที่ทุลลามอร์เมื่อสิบปีที่แล้วนั้น น่าจะเป็นวิญญาณที่มาปรากฏร่างให้ท่านเห็น เพื่อเตือนถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในแกรนต์โฮเตล
แต่หากว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่ลอร์ดดัฟเฟอรินคิด บางทีชายลึกลับผู้นั้นอาจเป็นตัวแทนของมัจจุราชที่มารอรับดวงวิญญาณของผู้ที่ชะตาขาดในอุบัติเหตุครั้งนั้นก็เป็นได้