อาถรรพ์เทพารักษ์หลักเมือง "ห้ามเจ้านายเสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี" ◕‿
คติความเชื่อในสมัยก่อน เป็นเรื่องแปลกที่ "เจ้านายแต่โบราณถูกห้ามไม่ให้เสด็จไปสุพรรณบุรี" สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงมาอธิบายว่า เป็นเพราะมีความเชื่อว่าเทพารักษ์ หลักเมืองสุพรรณบุรีไม่ชอบเจ้า ความอัปมงคลที่เมืองสุพรรณจะทำให้เจ้านายเสียพระจริต
“ฉันก็นึกอยากไปอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เป็นบ้านะ” เป็นพระราชดำรัส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอบคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรีของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เหตุที่ทรงตอบเช่นนั้นก็สืบเนื่องมาจากคติความเชื่อที่ว่า "ห้ามเจ้านายเสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี"
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่จัดการปกครองหัวเมือง จึงต้องเสด็จไปตรวจหัวเมืองต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ในปี พ.ศ.๒๔๓๕ ได้เสด็จตรวจเมืองพิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย เมืองตาก แล้วเสด็จกลับทางเมืองกำแพงเพชร เมื่อเสด็จมาถึงเมืองอ่างทอง ทรงหยุดพัก ๒ วัน โปรดสั่งเจ้าเมืองและกรมการเมืองให้เตรียมหาม้าพาหนะกับคนหาบหามสิ่งของสัมภาระเพื่อเดินทางบกไปสุพรรณบุรี
ครั้งนั้นพระยาอินทรวิชิต เจ้าเมืองอ่างทองซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ได้พยายามขัดขวางมิให้เสด็จโดยอ้างว่า การเดินทางจากอ่างทองไปสุพรรณบุรีนั้นยากลำบาก หนทางไกลไม่มีที่พักแรม ท้องทุ่งที่จะเดินทางไปบางส่วนแห้งแล้ง ร้อนจัด บางแห่งยังเต็มไปด้วยโคลนตม เฉอะแฉะ แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ไม่ทรงล้มเลิกความตั้งพระทัย เพราะทรงเคยผ่านความยากลำบากในการเดินทางมามาก จึงมีพระดำริว่า "น่าจะสามารถเดินทางไปถึงเมืองสุพรรณบุรีได้โดยไม่ยากนัก"
ในที่สุดพระยาอินทรวิชิตก็สารภาพว่าที่พยายามขัดขวางไม่ให้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี เพราะเกรงว่าอันตรายอันเนื่องจากคติความเชื่อมาแต่โบราณว่า "ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี" เมื่อทรงซักถามถึงสาเหตุพระยาอินทรวิชิต ก็ไม่สามารถทูลตอบได้ เพียงแต่ทูลย้ำว่าเป็นคติความเชื่อกันมาแต่โบราณว่า เพราะเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรีไม่ชอบเจ้านาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงทรงอธิบายถึงพระดำริของพระองค์ว่า "ฉันคิดว่าเทพารักษ์ที่มีฤทธิเดชถึงสามารถจะให้ร้ายดีแก่ผู้อื่นได้ จะต้องได้สร้างบารมีมาแต่ชาติปางก่อน ผลบุญจึงบันดาลให้มาเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ถึงปานนั้น ก็การสร้างบารมีนั้นจำต้องประกอบด้วยศีลธรรมความดี ถ้าปราศจากศีลธรรมก็หาอาจจะเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ เพราะฉะนั้นฉันเห็นว่า เทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรี คงอยู่ในศีลธรรม รู้ว่าฉันไปเมืองสุพรรณเพื่อจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน คงจะกลับยินดีอนุโมทนาด้วยเสียอีก"
การเดินทางจากอ่างทองไปยังสุพรรณบุรีในสมัยนั้นค่อนข้างลำบาก ต้องนั่งเรือข้ามลำน้ำน้อยขึ้นมาที่เมืองวิเศษชัยชาญ แล้วจึงขี่ม้าต่อ ท้องที่ระหว่างเมืองอ่างทองกับเมืองสุพรรณบุรี ส่วนมากเป็นท้องทุ่ง บางแห่งก็แห้งแล้ง อย่างที่เรียกกันว่าย่านสาวร้องไห้ หมายความว่า ในฤดูแล้ง ผืนแผ่นดินแห้งผาก คนเดินทางหาน้ำกินไม่ได้ หาที่ร่มพักไม้ได้ บางแห่งก็เป็นที่ลุ่มเฉอะแฉะม้าต้องลุยเลนลุยโคลน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าถึงการเดินทางครั้งนั้นว่า
"ทางจากเมืองอ่างทองไปเมืองสุพรรณบุรีเป็นทางไกล และในเวลานั้นยังไปลำบากสมดังพระอ่างทองว่า ขี่ม้าไปตั้งแต่เช้าจนเย็นรู้สึกเพลีย ถึงออกปากถามคนขี่ม้านำทางว่า เมื่อไรจึงจะถึงหลายหนจนจวนพลบค่ำจึงไปถึงทำเนียบที่พัก ณ เมืองสุพรรณบุรี”
และที่เมืองสุพรรณบุรีนี้เอง ทรงต้องพบกับเรื่องแปลกๆ ๒ เรื่อง เรื่องแรก คือ พระยาสุนทรสงครามเจ้าเมืองสุพรรณบุรีเก็บทรัพย์สมบัติหนีออกจากเมืองสุพรรณบุรีไปก่อนที่จะเสด็จถึง ซึ่งทรงทราบถึงสาเหตุภายหลังว่า พระยาสุนทรสงครามประพฤติผิดคิดมิชอบด้วยการรีดไถ่ กดขี่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำความเดือนร้อนให้แก่ราษฎร เพราะราษฎรมายื่นเรื่องราวกล่าวโทษพระยาสุนทรฯ มากมายหลายราย เรื่องที่ทรงแปลกพระทัยอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องที่เมืองสุพรรณบุรี มีศาลเจ้าเป็นจำนวนมาก ดังที่ทรงเล่าว่า "ที่ในบริเวณเมืองจะไปทางไหนแลเห็นศาลเจ้าไม่ขาดสาย เป็นศาลขนาดย่อมๆ ทำด้วยไม้แก่นมุงกระเบื้องก็มี ทำแต่ตัวไม้ไผ่มุงจากก็มี สังเกตเพียงที่จวนเจ้าเมืองมีศาลเจ้ารายรอบถึง ๔ ศาล"
จากข้อสังเกตดังกล่าว ทรงสันนิษฐานว่า ชาวเมืองสุพรรณบุรีส่วนใหญ่น่าจะนับถือและกลัวเกรงเจ้าผีเป็นนิสัยสืบกันมาแต่ช้านาน ถ้าเชื่อว่าแห่งใดเป็นที่มีผีสิงอยู่ก็จะต้องมีการทำพิธีเอาใจผี เช่น ปลูกศาลให้ผีสิงสถิตและเซ่นไหว้ด้วยของที่เชื่อว่าผีชอบ เพื่อผีจะได้พอใจไม่ทำร้ายหรือทำความเดือดร้อนให้ นอกจากเรื่องแปลกดังกล่าวแล้วยังมีเรื่องที่ทรงพอพระทัย นั่นคือการได้ความรู้เกี่ยวกับโบราณคดีและวรรณคดี โดยเฉพาะสถานที่ในเมืองนี้ เป็นสถานที่ที่ปรากฏในวรรณคดีสำคัญของไทยเรื่องหนึ่งคือ ขุนช้างขุนแผน ไม่ว่าจะตำบลท่าสิบเบี้ยบ้านพ่อแม่ขุนช้าง ตำบลท่าพี่เลี้ยงบ้าน พ่อแม่ขุนแผน เป็นต้น ดังที่ทรงเล่าว่า "ตำบลบ้านและวัดเหล่านั้นยังอยู่จนทุกวันนี้ ฉันได้เคยไปถึงทุกแห่ง"
การเสด็จตรวจเมืองสุพรรณบุรีของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ครั้งนั้น นอกจากจะทำให้ทรงรู้เรื่องราวความเป็นไปของทั้งเจ้าเมืองและราษฎรในสุพรรณบุรีแล้ว ยังเป็นการลบล้างคติความเชื่อเก่าแก่ที่ว่าห้ามมิให้เจ้านายเสด็จไปเมืองสุพรรณบุรีกลับอย่างปลอดภัย ไม่มีสิ่งร้ายเกิดขึ้นก็มีเจ้านายเริ่มเสด็จไปเที่ยวเมืองสุพรรณบุรีบ้าง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระทัยเรื่องการตั้งมณฑลเทศาภิบาลอันเป็นงานหลักของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เพราะนับเป็นการปรับเปลี่ยนการปกครองส่วนภูมิภาคได้สะดวกและเป็นเอกภาพ โดยแบ่ง ๗๑ จังหวัด เป็นมณฑลได้ ๘ มณฑลแต่ละมณฑลขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์โดยผ่านกระทรวงมหาดไทย จึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จทอดพระเนตรผลงานการปกครองหัวเมืองที่จัดใหม่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ต้องทรงคิดหาสถานที่เสด็จประพาสถวายทุกปี ในปีหนึ่งทรงกราบบังคมทูลเสด็จ ประพาสเมืองสุพรรณบุรี จึงมีพระราชดำรัสว่า "ฉันก็นึกอยากไปอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เป็นบ้านะ" สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ จึงทรงกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไปเมืองสุพรรณหลายปีแล้ว ก็ยังรับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ได้" จึงทรงพระสรวลและตรัสว่า "ไปซิ"
จึงเป็นอันว่าคติความเชื่อโบราณที่ว่า ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี เหตุผลเพราะเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรีไม่ชอบเจ้านาย อันเป็นเหตุให้เมืองสุพรรณบุรีกลายเป็นเมืองที่ห่างพระเนตรพระกรรณ เจ้าเมืองทุกคน พยายามรักษาคติความเชื่อนี้ไว้และถือเป็นโอกาสประพฤติผิดคิดมิชอบฉ้อราษฎร์บังหลวง คติความเชื่อดังกล่าวถูกลบล้างด้วยความกล้าหาญ และความตั้งพระทัยแน่วแน่ในการที่จะทำนุบำรุงเมืองสุพรรณบุรีให้เจริญรุ่งเรืองของเจ้านาย ๒ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงคติที่ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณอีก....(จบ)...✎
ที่มาhttp://www.tnews.co.th/contents/343085