ในชุดขุนนางที่คอหนังผีคุ้นเคย มันมีที่มาแบบนี้...
ถ้าจะกล่าวถึงผีจีน จินตนาการแรกที่ทุกคนคิดถึงก็น่าจะเป็นภาพของร่างมนุษย์หน้าขาวซีด ขอบตาดำเหมือนแพนด้า ใส่ชุดขุนนางจีนและมียันต์แปะไว้ที่หน้าผากและจะกระโดดเหย็งๆ ไปตามเสียงกระดิ่งของซินแสที่เป็นผู้บังคับ ซึ่งเราจะนำทุกท่านไปรู้จักกับพวกมันให้ดียิ่งขึ้น
พวกมันมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า “เจียงซือ” มีความหมายว่า “ศพแข็ง” พวกมันถูกจัดให้อยู่ในประเภทของแวมไพร์หรือซอมบี้ ตามความเชื่อของชาวจีนนั้นเจียงซือจะเป็นผีที่ไม่มีชีวิตจิตใจไม่สามารถที่จะคิดเองได้เพราะวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็จะเป็นความรู้สึกที่คอยบังคับให้เคลื่อนไหวเพียงเท่านั้น
ต้นกำเนิดของตำนานเจียงซือเป็นความเชื่อในลัทธิเต๋าที่มีความเชื่อว่าหากผู้ใดเสียชีวิตที่ไหนก็ตามจะต้องนำศพกลับมาทำพิธีที่บ้านเกิดเท่านั้นวิญญาณถึงจะไปสู่สุคติได้ และในสมัยโบราณนั้นการเดินทางไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ถ้าจะต้องแบกโลงศพเดินทาง จึงทำให้นักบวชในลัทธิเต๋าจึงต้องใช้คาถาในการนำศพไปส่งยังบ้านเกิด ซึ่งการที่จะบังคับศพนั้นก็จะใช้เสียงกระดิ่งเป็นคำสั่งการให้ศพกระโดดตามมา
วิธีการในการส่งศพแต่ละครั้งนั้นนักบวชจะต้องทำเฉพาะเวลากลางคืนเพียงเท่านั้นเพราะว่าเจียงซือนั้นไม่สามารถที่จะสู้แสงแดดและที่สำคัญคือเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านได้พบเห็นเพราะอาจจะทำให้สติแตกไปเลยก็ได้ ดังนั้นการควบคุมเหล่าเจียงซือนั้นถือว่าต้องทำให้ลับตาคนมากที่สุด
แต่สิ่งที่ทุกคนน่าจะสงสัยก็คือ ทำไมเจียงซือเวลาเคลื่อนไหวนั้นต้องกระโดดไปมาได้อย่างเดียว อย่างที่บอกตอนแรกว่าความหมายของ “เจียงซือ” ก็คือ “ศพแข็ง” ร่างกายของเจียงซือนั้นเส้นเอ็นต่างๆ จะแข็งจนยึดไปหมดทำให้ไม่สามารถที่จะเดินแบบมนุษย์ปกติได้ จึงต้องเคลื่อนไหวได้ด้วยการกระโดดเพียงเท่านั้น
ส่วนสาเหตุที่ต้องใส่ชุดขุนนางจีนอย่างเดียวก็เป็นเพราะว่าเราติดภาพมาจากภาพยนตร์ต่างๆ ซึ่งที่จริงแล้วเจียงซือนั้นมีทุกชนชั้น แต่ภาพที่สื่อออกมาจากภาพยนตร์นั้นทำให้เราคิดไปกันเองว่าเจียงซือจะต้องใส่ชุดขุนนางจีนอยู่เสมอ
แต่เรื่องราวของเจียงซือนั้นก็มีเสียงร่ำลืออีกด้านเช่นกัน โดยมีผู้สันนิษฐานว่าเรื่องราวของเจียงซือนั้นเป็นเพียงแค่การแต่งเรื่องโดยขบวนการขโมยศพเพื่อให้ผู้คนกลัวเวลาที่ได้ยินเสียงสั่นกระดิ่งในยามค่ำคืนและไม่กล้าที่จะโผล่หน้าออกมาดูเพียงเท่านั้น ซึ่งในจีนโบราณนั้นจะมีการขโมยศพไปเพื่อใช้กระดูกในการทำยาหรือนำไปทดลองอะไรบางอย่าง ซึ่งโจรขโมยศพจะนำศพที่ขโมยมาได้ผูกต่อๆ กันกับไม้ไผ่และแบกไป
ก็อยู่ที่ว่าท่านผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณในการเชื่อว่าจะเลือกเชื่ออันไหน
ถ้าจะกล่าวถึงผีจีน จินตนาการแรกที่ทุกคนคิดถึงก็น่าจะเป็นภาพของร่างมนุษย์หน้าขาวซีด ขอบตาดำเหมือนแพนด้า ใส่ชุดขุนนางจีนและมียันต์แปะไว้ที่หน้าผากและจะกระโดดเหย็งๆ ไปตามเสียงกระดิ่งของซินแสที่เป็นผู้บังคับ ซึ่งเราจะนำทุกท่านไปรู้จักกับพวกมันให้ดียิ่งขึ้น
พวกมันมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า “เจียงซือ” มีความหมายว่า “ศพแข็ง” พวกมันถูกจัดให้อยู่ในประเภทของแวมไพร์หรือซอมบี้ ตามความเชื่อของชาวจีนนั้นเจียงซือจะเป็นผีที่ไม่มีชีวิตจิตใจไม่สามารถที่จะคิดเองได้เพราะวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็จะเป็นความรู้สึกที่คอยบังคับให้เคลื่อนไหวเพียงเท่านั้น
ต้นกำเนิดของตำนานเจียงซือเป็นความเชื่อในลัทธิเต๋าที่มีความเชื่อว่าหากผู้ใดเสียชีวิตที่ไหนก็ตามจะต้องนำศพกลับมาทำพิธีที่บ้านเกิดเท่านั้นวิญญาณถึงจะไปสู่สุคติได้ และในสมัยโบราณนั้นการเดินทางไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ถ้าจะต้องแบกโลงศพเดินทาง จึงทำให้นักบวชในลัทธิเต๋าจึงต้องใช้คาถาในการนำศพไปส่งยังบ้านเกิด ซึ่งการที่จะบังคับศพนั้นก็จะใช้เสียงกระดิ่งเป็นคำสั่งการให้ศพกระโดดตามมา
วิธีการในการส่งศพแต่ละครั้งนั้นนักบวชจะต้องทำเฉพาะเวลากลางคืนเพียงเท่านั้นเพราะว่าเจียงซือนั้นไม่สามารถที่จะสู้แสงแดดและที่สำคัญคือเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านได้พบเห็นเพราะอาจจะทำให้สติแตกไปเลยก็ได้ ดังนั้นการควบคุมเหล่าเจียงซือนั้นถือว่าต้องทำให้ลับตาคนมากที่สุด
แต่สิ่งที่ทุกคนน่าจะสงสัยก็คือ ทำไมเจียงซือเวลาเคลื่อนไหวนั้นต้องกระโดดไปมาได้อย่างเดียว อย่างที่บอกตอนแรกว่าความหมายของ “เจียงซือ” ก็คือ “ศพแข็ง” ร่างกายของเจียงซือนั้นเส้นเอ็นต่างๆ จะแข็งจนยึดไปหมดทำให้ไม่สามารถที่จะเดินแบบมนุษย์ปกติได้ จึงต้องเคลื่อนไหวได้ด้วยการกระโดดเพียงเท่านั้น
แต่เรื่องราวของเจียงซือนั้นก็มีเสียงร่ำลืออีกด้านเช่นกัน โดยมีผู้สันนิษฐานว่าเรื่องราวของเจียงซือนั้นเป็นเพียงแค่การแต่งเรื่องโดยขบวนการขโมยศพเพื่อให้ผู้คนกลัวเวลาที่ได้ยินเสียงสั่นกระดิ่งในยามค่ำคืนและไม่กล้าที่จะโผล่หน้าออกมาดูเพียงเท่านั้น ซึ่งในจีนโบราณนั้นจะมีการขโมยศพไปเพื่อใช้กระดูกในการทำยาหรือนำไปทดลองอะไรบางอย่าง ซึ่งโจรขโมยศพจะนำศพที่ขโมยมาได้ผูกต่อๆ กันกับไม้ไผ่และแบกไป
Custom Search