วัดสระเกศ
วัดสระเกศ เป็นอีกที่ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี หากย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 1 ศูนย์รวมของชุมชน บ้านเรือนผู้คนจะอยู่ภายในกำแพงเมือง ส่วนด้านนอกกำแพงจะมีการทำนาหรือเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ ภายในกำแพงเมืองนี้ ถือธรรมเนียมกันว่า หากมีคนเสียชีวิตจะต้องขนศพออกไปเผาด้านนอกกำแพงเมือง และทางออกที่ใช้ขนศพออกไปก็คือ ประตูทิศตะวันออกของเมือง ซึ่งเมื่อระบุตามตำแหน่งก็คือ บริเวณใกล้สี่แยกสำราญราชในปัจจุบันนั้นเอง
ประตูนี้ถูกเรียกขานกันว่าประตูผี โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาดในพระนคร และเมืองใกล้เคียงในสมัยรัชกาลที่ 2 ด้วยโรคห่าหรืออหิวาตกโรคระบาดไปทั่วทำให้มีคนตายหลายหมื่นคน ศพจำนวนมากถูกลำเรียงผ่านประตูผี ไปยังวัดสระเกศซึ่งอยู่ติดๆกันเรียกว่า ว่ากันว่ามีศพมากมายกองพะเนินวัดไม่สามารถเผาหรือฝังได้ทัน จึงต้องขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังลงไปในหลุมเดียวกันคราวละมากๆ แต่จำนวนศพที่มากเกินไป ทำให้ฝูงแร้งแห่กันมาจิกกินซากศพกันเป็นอาหาร
แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" ตำนานที่เกิดขึ้นจริง!!... ประกอบกับอหิวาตกโรคที่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า
"แร้งวัดสระเกศ ...เปรตวัดสุทัศ"
"แร้งวัดสระเกศ ...เปรตวัดสุทัศ"
ครั้นมาสมัยรัชกาลที่ 3 และสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังเกิดโรคระบาดซ้ำขึ้นอีก วัดสระเกศก็ยังประสพปัญหาเผาศพไม่ทันเหมือนเดิม ทำให้กลายเป็นแหล่งหากินของฝูงแร้งที่มาจิกกินซากศพ จนมีคำเรียกว่าแร้งวัดศระเกศเกิดขึ้นในช่วงนั้นเอง
ปัจจุบันไม่มีประตูผีให้เห็นกันอีกแล้ว อันเนื่องมาจากการตัดถนนบำรุงเมืองผ่านประตูผี และมีการลื้อถอนประตูเมืองและกำแพงออกไป ประตูผีจึงเหลือแค่ชื่อไว้ให้ระลึกถึง แม้ว่าภายหลังจะเปลี่ยนชื่อเรียกตามประตูผีมาเป็นสำราญราช เพื่อเป็นสิริมงคล แล้วก็ตาม แต่ชื่อประตูผีก็ยังเป็นชื่อเรียกติดปากของผู้คนจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่ของกินอร่อย ที่เต็มไปด้วยร้านดัง อาทิร้านผัดไทยหอยทอด ข้าวต้มเป็ด ที่ทุกค่ำคืน จะมีคนมายืนรอ ซื้อกินกันอย่างคึกคัก ไม่เหลือความวังเวงน่ากลัวให้เห็นกันอีกแล้ว
ทั้งนี้ เชื่อว่าวัดเหล่านี้ บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวมาบ้าง แต่ยังไงก็แล้วแต่วัดเหล่านี้ ก็เป็นวัดที่เก่าแก่มานาน และมีความสวยอยู่ด้วย ถ้าใครมีโอกาสลองไปเยี่ยมชมกันดูได้