ค้นหา

ที่นี่มีผี..รวมเรื่องลึกลับสยองขวัญสั่นประสาทตาเหลือกตากลับ
บางทีก็น่ากลัวบางทีก็ไม่น่ากลัวรวมๆกันไป
ที่นี่เปิด รับทุกอย่างที่เกี่ยวกับผีๆวิญญาณ
ท่านใดชอบเรื่องผีหรือมีคลิปผีถ่ายติดวิญญาณ.. น่าสนใจ..
ติดต่อส่งตั้งกระทู้มาที่ ghost-in-manman ด้านข้างครับ
แนะนำข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเชิญได้ครับ
ดูเว็บ ghost-in-manman แล้วหาความรู้เพิ่มเติม..ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ให้ความสนใจและ ให้ข้อมูลเรื่องน่ากลัวๆเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ มาทางเราจะนำมาลงให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ.....
อย่าลืมดูเว็บ ghost-in-manman

chat love manman1

chat love manman 2

chat love manman 3

chat love manman 4

chat love manman 5

chat love manman6

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

คำสาปมัสสุหรี - คำสาปแห่งลังกาวี มาเลย์เชีย

คำสาปมัสสุหรี
คำสาปแห่งลังกาวีมาเลย์เชีย
ข้าพเจ้าได้ฟังเพลง มนต์ขลังมัสสุหรี ซึ่งบทเพลงได้บรรยายเรื่องราว
ของ พระนางมัสสุหรี ที่เป็นชายาของอนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวีเรื่องราวที่น่าเศร้ามากมายสำหรับหญิงสาวที่ชาติกำเนิดเป็นคนชาวภูเก็ตคนนี้....เรื่องราวของความตายและคำสาป แห่งลังกาวี
เชิญพบเรื่องราวของประวัติศาสตร์แห่งลังกาวีและผู้ที่ถอนคำสาปแห่งเกาะนี้ได้ ศิรินทรา ยายี....ทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนางมัสสุหรี
สุสานและจารึกคำสาปของพระนางมัสสุหรี
จากเรื่องราวของ คำสาปของพระนางมัสสุหรี......
"ยินดีจะเสียชีวิต แต่ถ้าบริสุทธิ์ขอให้เลือดตัวเองเป็นสีขาว และขอให้เกาะลังกาวีไม่มีความเจริญ ไม่ให้พบกับสันติสุขไปจนถึง 7 ชั่วโคตร"

นี่คืออาถรรพ์คำสาปที่ "พระนางเลือดขาว" หรือ "พระนางมัสสุหรี"
ได้เอ่ยปากสาปแช่ง "เกาะลังกาวี" ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์...

"ยินดีที่จะเสียชีวิต
เพื่อพิสูจน์จิตนั้นบริสุทธิ์
ถ้าการตายเป็นเครื่องพิสูจน์
ให้โลหิตที่ผุดจากกายเป็นสีขาว

ขอให้ลังกาวีจงไม่พบ
ทุกอย่างจบลงอย่างเงียบเหงา
ความเจริญทุกอย่างจะบางเบา
ความเงียบเหงาแทนที่ต่อนี้ไป

เจ็ดชั่วโคตรที่พวกท่านจะได้พบ
กับจุดจบของเกาะแห่งนี้ที่ได้
ตัวเรานั้นไม่กลัวตาย
ขอสาปให้ไม่พบความเจริญ"

เรื่องราวของคำสาปบนเกาะลังกาวี
เรามาศึกษารายละเอียดของ "เกาะลังกาวี" (Langkawi)….

"เกาะลังกาวี" (Langkawi) ตั้งอยู่ในทะเลอันดามัน ใกล้ฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมาเลเซีย อยู่ในรัฐเกดะห์ ประเทศมาเลเซีย ตรงข้ามกับเกาะตะรุเตา ใกล้กับชายแดนไทย อยู่ห่างจากเมืองกัวลาเปอร์ลิส ประมาณ 30 กิโลเมตร และเมืองกัวลาเคดะห์ 51 กิโลเมตร แต่เดิมเกาะลังกาวีเคยเป็นดินแดนของเมืองไทรบุรีที่ตั้งโดยชาวไทยที่เป็นสยามอิสลาม อยู่กับอาณาจักรสยามมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัชกาลที่ 5 และได้เสียดินแดนส่วนนี้ให้กับประเทศอังกฤษในที่สุด

พระนางเลือดขาว หรือพระนางมัสสุหรี เป็นหญิงสาวชาวภูเก็ตที่อนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ทรงเลือกเป็นคู่ครอง เนื่องจากพระนางเป็นหญิงสาวที่มีความเพียบพร้อม ทั้งงานบ้านงานเรือนและความสวยงาม ทั้งๆ ที่ทางราชวงศ์ได้คัดเลือกหญิงสาวชาวลังกาวีหลายคนให้พระอนุชาเลือก แต่ก็ไม่ถูกใจ กลับมาถูกใจสาวไทยชาวภูเก็ต

พระนางมัสสุหรี มาอยู่กับพระอนุชาของสุลต่านในฐานะพระชายาองค์รอง แต่ด้วยเหตุที่พระชายาองค์ใหญ่ ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรี มีบุตรเป็นหญิง ส่วนพระนางมัสสุหรี มีบุตรเป็นชายชื่อ "วันฮาเกม" ตามกฎของสำนักพระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งปะไหมสุหรี ทำให้ชาวลังกาวีที่เป็นพระญาติของปะไหมสุหรีองค์เดิมเก็บความอิจฉาไว้ลึกๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เกิดสงคราม มีเหตุให้พระอนุชาขององค์สุลต่าน ซึ่งเป็นพระสวามีของพระนางมัสสุหรี ต้องเดินทางออกรบกับกองทัพไทยที่บุกมาโจมตี ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้ายคิดร้าย ต่างหาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่า พระนางมัสสุหรีแอบคบชู้ ทำให้องค์สุลต่านตัดสินประหารชีวิตพระนางมัสสุหรีด้วยกริช โดยที่สวามีของนางไม่อาจกลับมาช่วยเหลือได้ทัน

ซึ่งก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ พระนางมัสสุหรีได้อธิษฐานว่า "หากนางไม่มีความผิด ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และขอให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป 7 ชั่วคน"

เมื่อเพชฌฆาตลงคมกริชประหาร คมกริซนั้นกลับไม่ระคายผิวนางเลย เมื่อเป็นเช่นนี้พระนางมัสสุหรีจึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา และเมื่อคมกริชจรดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นข้างบนราวกับเป็นร่มโดยไม่ตกลงบนพื้นดินเลย องค์สุลต่านเองก็ช่วยชีวิตพระนางไม่ได้ เพราะพระนางมัสสุหรีเสียเลือดมาก

ด้านพี่ชายของพระนางมัสสุหรีเกรงว่าหลานชายวัย 5 เดือน ทายาทคนเดียวของพระนางมัสสุหรีจะมีภัย จึงนำลงเรือล่องมายังเกาะภูเก็ต และเริ่มตั้งรกรากที่นี่ โดยโอรสของพระนางมัสสุหรีเติบโตขึ้นมีนามว่า "โต๊ะวัน" นับเป็นทายาทรุ่นที่ 1

สำหรับสุสานของนางมาซูรีนั้น มีสุสานที่สร้างด้วยหินอ่อน และคำจารึกภาษามาเลเซียและภาษาอังกฤษ ซึ่งจัดสร้างทำขึ้นภายหลัง มีข้อความว่า . . .
MAHSURI BINTI PANDAK MAYAH
MAHSURI A VICTIM OF TREACHERY AND JEALOUSY WAS SENTENCED TO DEATH IN 1235 HIJRAH OR 1819 A.D. AS SHE DIED SHE LAID A CURSE ON THE ISLAND "THERE SHALL BE NO PEACE AND PROSPERITY ON THIS ISLAND FOR A PEROID OF SEVEN GENERATIONS''

แปลความได้ว่า . . .

    มัสสุหรีผู้รับเคราะห์กรรมจากการทรยศหักหลัง และความอิจฉาริษยาจนถูกตัดสินให้นางถึงแก่ความตายลง เมื่อศักราช (อิสลาม) 1235 หรือ คริสต์ศักราช 1819 (พ.ศ. 2362) นางสิ้นชีวิตลงพร้อมกับคำสาปแช่งที่แห่งนี้ว่า ''จะไม่เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองบนเกาะแห่งนี้ เป็นเวลา 7 ชั่วอายุคน''

และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา "เกาะลังกาวี" ก็เงียบเหงา ผู้คนอยู่กันอย่างไม่มีความสุข เพราะมนตราแห่งการสาปแช่งของพระนางมัสสุหรี มาตั้งแต่ พ.ศ.2362 เป็นเวลา 181 ปี ตกอยู่ในอำนาจของคำสาปที่มืดดำเฉกเช่นชายหาดที่มีสีดำ นัยว่าเกาะแห่งนี้ถูกอำนาจแห่งความบริสุทธิ์นั้นสาปแช่งให้จมอยู่กับความตกต่ำ เป็นอาถรรพ์ครอบคลุมมาถึง 7 ชั่วอายุคน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เกาะลังกาวีกำลังจะผ่านพ้นช่วงแห่งความมืดมิด เพราะได้ผ่านพ้นมาแล้ว 6 ชั่วอายุคน และก้าวเข้าสู่คนรุ่นที่ 7 ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นผู้มาแก้คำสาป เพื่อทำให้เกาะลังกาวีหลุดพ้นจากอำนาจลึกลับ

ทั้งนี้หนังสือพิมพ์หลายๆ สำนักของมาเลเซีย และรัฐบาลมาเลเซีย ต่างพากันออกตามหาผู้สืบทอดเชื้อสายของพระนางมัสสุหรี จนมาพบว่าทายาทรุ่นที่ 7 ได้อาศัยอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยซึ่งก็คือ นางสาวศิรินทรา ยายี มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงความเป็นทายาทผู้ถอนคำสาป ไม่ว่าจะเป็นกริซประจำตระกูล รูปภาพ และบรรพบุรุษชื่อ "วันฮาเกม" ทางรัฐบาลจึงเชิญพระนางทายาทรุ่นที่ 7 กลับสู่เกาะลังกาวี เพื่อถอนคำสาป จากเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อเธอได้ไปยืนอยู่บนแผ่นดินเกาะลังกาวี เธอกลับกลายเป็นเจ้าหญิงน้อยๆ ไปในทันที

"ศิรินทรา ยายี" หรือ "เมย์" เกิดเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 (สิงหาคม) พ.ศ. 2528 ที่โรงพยาบาลวชิระ จังหวัดภูเก็ต (น่าแปลกที่วันนั้นไม่มีเด็กคนไหนถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับเธอเลย แถมท้องฟ้าที่ใสกระจ่างกลับมืดดำ และฝนก็เทกระหน่ำลงมานานถึง 1 เดือน) ศิรินทรา ยายี เป็นบุตรสาวของนายสุวรรณ ยายี และนางสุนี ยายี มีน้องชาย 1 คน ปัจจุบัน ศิรินทรา ยายี กำลังศึกษาในระดับชั้นปีที่ 2 ของคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตส หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ทุนของเอกชนในประเทศมาเลเซีย ให้ศึกษาในมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย อยู่ 2 ปี แต่มีปัญหาเรื่องทุนจึงต้องกลับมาเรียนต่อในไทย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทางประเทศมาเลเซียจะเสนอให้ครอบครัวเธอย้ายไปอยู่ที่นั่น โดยจะมอบบ้าน รถ ที่ดิน และสิทธิในการเป็นเจ้าของเกาะให้ด้วย แต่ศิรินทรา ยายี เลือกที่จะอยู่ต่อที่ประเทศไทย เพราะเธอรักประเทศไทย

"หนูรู้สึกภูมิใจในการที่ได้เกิดเป็นทายาทรุ่นที่ 7 เพราะคุณทวดหนูเป็นคนดี และหนูคงเอาความดีของคุณทวดมาเป็นแบบอย่าง" ศิรินทรา กล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังการไปเยือนเกาะลังการวีของ ศิรินทรา ยายี เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ทำให้เกาะต้องมนต์แห่งนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เพราะรัฐบาลมาเลเซียได้ใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นคืนชีพเกาะลังกาวี ในความเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์
เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย manman

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

ผีที่ต้นไทร


ผมเป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ โดยไม่ได้พกความรู้มามากมายนัก เนื่องจากเป็นคนชาวไร่ชาวนาที่ต้องการมีงานสบายๆ ทำเหมือนเพื่อนๆ

บ้านผมอยู่ชลบุรี อ.ศรีราชา เขตตำบลบึง ติดกับวัดจุกกะเฌอ เคยเป็นเด็กวัดนี้มาก่อน ออกจากโรงเรียนก็มาช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาตามประสาเด็กบ้านนอก เมื่อเอ่ยถึงวัดจุกกะเฌอที่ผมเคยอยู่นี้นักเลงพระทั้งหลายคงยังไม่ลืมพระดีศรีเมืองชลกันนะครับ

หลวงพ่อเริ่ม ปรโม (พระครูวิริยาภรณ์) เจ้าอาวาสวัดจุกกะเฌอรูปนี้ แม้ท่านจะมรณภาพไปหลายปีแล้วก็ตาม เมื่อตอนผมครบบวชก็ได้บวชที่วัดของท่านนี่เอง ท่านเป็นพระนักพัฒนาจริงๆ สร้างศาลาการเปรียญหลายหลังโดยที่ไม่ต้องเขียนแบบแปลน ท่านมีของที่ปลุกเสกและลูกศิษย์ที่นับถือมากมาย เช่น ล็อกเกตรูปเหมือน, พระปิดตา, พระกริ่งปรโม ที่เคยลงในข่าวสดของ "อริยะเผดียงธรรม"

ทุกวันนี้กลายเป็นของหายากไปแล้ว!

ขอเข้าเรื่องที่ผมอยากเล่าให้แฟนๆ ฟังต่อนะครับ

เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีมาแล้ว บริเวณใกล้ๆ กับวัดจุกกะเฌอมีหนองน้ำขนาดใหญ่ มีดอกบัว จอก แหน ต้นกกและดงหญ้าขึ้นรกครึ้มเต็มไปหมด เหมาะที่จะให้วัวควายลงไปกินหญ้าและน้ำในหนองดังกล่าว

ผมเป็นเด็กเลี้ยงควายอีกคนหนึ่ง ที่พ่อใช้ควาย 2 ตัวเสร็จแล้วผมก็จะไล่ลงหนองน้ำที่มีอาหารคือหญ้าอ่อนให้เขาได้กิน จากนั้นก็เล่นกันตามประสาเด็กๆ

วันที่เกิดเหตุเล่นกันเพลินจนมืดค่ำ เพื่อนๆ แยกย้ายกันไป ผมเป็นคนสุดท้ายที่ไล่ควายขึ้นจากหนองน้ำ เพื่อนำเข้าไปในคอกบริเวณหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั้นมากนัก

สมัยนั้นทางที่เดินกลับบ้านแม้จะไม่ไกล แต่มันเงียบและวังเวงมาก ในหมู่บ้านมีเพียงแสงตะเกียงจากบ้านเรือนที่อยู่ห่างๆ กันเท่านั้น บรรยากาศมืดสลัวแทบจะมองไม่ค่อยเห็นทางเลย

ผมเดินไล่เจ้าเพื่อนยากที่ช่วยให้เรามีข้าวกินทั้ง 2 ตัวไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เสียวสันหลังเหมือนมีใครตามหลังมายัง งั้นแหละ

เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม มันยิ่งชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งทางเข้าบ้านตรงมุมเลี้ยวเข้าวัดที่ต้นไทรใหญ่ ขึ้นปกคลุมอยู่มืดครึ้มเข้าไปอีก ใต้ต้นไทรมีทางเกวียนและโคลนแฉะๆ ที่ต้องย่ำไป...และย่ำไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด จนใกล้จะถึงบ้านเข้าไปทุกทีแล้ว!

ตอนนั้นเดินพลางเหลียวซ้ายแลขวาพลาง ใจคอเต้นตึ้กตั้กด้วยความหวาดระแวงตามประสาเด็ก

ทันใดนั้นเอง ในความมืดที่พอมองเห็นได้ระยะ 4-5 ก้าว มีหมาดำตัวใหญ่ สูงเกือบเท่าควายเห็นจะได้ เดินผ่านหน้าผมไปในด้านหลังต้นไทรใหญ่...ก่อนที่จะหายลับไปมันยังหันมาจ้องมองผมด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ...หมานรกตัวนั้นไม่มีขาเลยแม้แต่ข้างเดียว!

ผมรู้สึกใจหายวาบเหมือนหล่นวูบลงไปในนรกอเวจีลึกล้ำราวกับไม่มีวันสิ้นสุดลงเลย...

เท่านั้นเองที่ผมจำได้ ทั้งคนและควายต่างแตกตื่นวิ่งกระจาย ผมเองร้องเอะอะโหวกโหวยไม่เป็นภาษามนุษย์... เมื่อถึงบ้านก็ยังอกสั่นขวัญแขวนจนพูดอะไรไม่ออก รุ่งขึ้นถึงกับจับไข้อยู่อีกหลายวัน พร่ำเพ้อถึงปีศาจร้ายที่ปรากฏกายหลอกหลอน...ซึ่งผมมารู้เอาตอนหลัง

พ่อแม่ผมเป็นห่วงว่าอาการจะทรุดหนักลงจนยากจะแก้ไข ต้องไปหาหมอพื้นบ้านมาเรียกขวัญ ทำพิธีให้ผมจึงหายเจ็บไข้ ไม่งั้นอาจจะถึงกับล้มตายไปเพราะฤทธิ์เดชของหมาจากนรกอเวจีตัวนั้นก็เป็นได้

ปัจจุบันนี้บริเวณที่ผมเคยโดนผีหลอกกลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมของเครือสหพัฒน์ไปหมดแล้ว เหลือแต่ความทรงจำอันแสนสยดสยองที่เคยมีเมื่อครั้งเยาว์วัย คิดถึงทีไรขนลุกทุกทีเลยครับ! บรื๋อออ...

เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย manman

รายการบล็อกของฉัน