ตำนานผีทหารญี่ปุ่นเฝ้าสมบัติที่ วัดภูเขาทอง จ.พัทลุง
หลังจากที่ช่วงนี้ กำลังเป็นกระแสมาแรงสำหรับละครเรื่อง พิษสวาท ที่นำแสดงโดย นุ่นวรนุช และ ป้อง ณวัฒน์ ที่เพิ่งออนแอร์ไม่กี่ตอน แต่กลับได้กระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะฉากที่ถูกตัดคอให้กลายเป็นผีเฝ้าสมบัติ นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้ว ยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เฝ้าสมบัติของตน
จึงนำเรื่องเล่าเว็บไซค์ชื่อดัง Pantip ที่มีเรื่องราวของการเฝ้าสมบัติในอดีตคล้ายกับในละครมาให้ทุกท่านได้ทราบกัน
สมัยก่อนตอนอยู่พัทลุงนั้นผมเป็นคนมีเพื่อนมาก เพราะเป็นเด็กกิจกรรมทำให้มีโอกาสพบเจอเด็กจากโรงเรียนอื่นๆ ทั้งจากทั่วพัทลุงเองและจากตรัง สตูล นครศรี สงขลา พอโตมา ต่างคนต่างมีงานทำ ก็ยังคงติดต่อกันอยู่ พอว่างๆก็นัดรวมกลุ่มไปนั่งกินตามร้านอาหารบ้าง ริมทะเลแบบปูเสื่อนั่งกันมืดๆบ้าง..แน่ล่ะ พอรวมกันทีนึง ก็ต้องมีเรื่องคุยกัน เรื่องสาระบ้าง ไร้สาระบ้างไปตามวัย ที่แน่ๆ เรื่องผีๆมันต้องมา เมื่อบรรยากาศมืดๆริมทะเลเป็นใจ และนี่คือเรื่องราวของสาวนางนึง ที่เล่าประวัติความหลอนของถิ่นบ้านเกิดของนาง ผมจึงนำมาเล่าต่อในวงกว้างอีกทอดนึง
....กี้ (นามสมมุติ) นางเป็นคน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง บ้านอยู่ที่ บ้านปากคลอง หลายคนๆอาจจะบอกว่าไม่รู้จักแต่ถ้าบอกว่าหมู่บ้านนี้อยู่ใกล้ "วัดเขาอ้อ" หลายคนอาจจะร้องอ๋อ... เพราะวัดเขาอ้อนี้ ในอดีตได้ชื่อว่าเป็นสำนักไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงมาก "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มือปราบโจรชื่อดัง ก็เคยเป็นศิษย์ของสำนักไสยเวทย์นี้
แต่ผมไม่ได้จะมาเล่าถึงความขลังของวัดเขาอ้อ แต่จะมาเล่าตำนานลึกลับของวัดภูเขาทอง ที่อยู่ไม่ไกลกัน ที่ น.ส.กี้ เล่ามาอีกที วัดภูเขาทอง ตั้งอยู่ติดกับเทศบาลบ้านปากคลอง หากใครนั่งรถไฟผ่านสถานีปากคลอง จะเห็นภูเขาหินปูนสูงโดดเด่นเหมือนจอมปลวก หากดูในแผนที่ จะพบว่า เขาทอง จะอยู่ตรงกับ เขาอ้อ ในระนาบเหนือใต้ แนวเดียวกัน
กี้บอกว่า เธอได้ฟังเรื่องนี้มาจากแม่ และแม่ก็ฟังมาจากทวดอีกที (ทวดเสียชีวิตไปแล้ว) เกี่ยวกับภูเขาลูกนี้ทวดเล่าให้แม่ของกี้ฟังว่า สมัยก่อน ทวดปลูกบ้านสร้างครอบครัวอยู่ที่บ้านปากคลองเก่า (ปากคลองที่ติดกับเขาทองนี้เป็นปากคลองที่สร้างขึ้นใหม่ เมื่อมีทางรถไฟตัดผ่านในปี 2453)
...ทวดของกี้เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนแถบนี้เป็นป่าหญ้า ทุ่งนา และทางเกวียน ป่ารกไปสุดลูกหูลูกตา หาความเจริญไม่เจอ และเมื่อก่อนนั้น เขาทองก็ไม่ได้ชื่อเขาทองอย่างในปัจจุบัน แต่จะชื่อเขาอะไร นางก็จำไม่ได้ สมัยนั้นวัดเขาอ้อ มีความเป็นเอกด้านไสยศาสตร์ จนทั้งเสือ และตำรวจ และคนทั่วไป เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์กันมาก เพราะอยากหนังเหนียว
....แน่นอน ตำรวจกับเสือ ย่อมไม่ถูกกัน ยิ่งพัทลุงนี้ ในอดีตได้ชื่อว่าเป็นถิ่นเสือ เสือจึงมากไม่ต่างกับ สุพรรณ อ่างทอง สิงห์บุรี ของภาคกลาง พวกตำรวจและคนสุจริต เมื่อเดินทางมาวัดเขาอ้อ ก็นอนอาศัยที่วัดเขาอ้อได้เลย เพราะไม่ต้องเกรงกลัวอะไร
แต่พวกเสือสางนั้น จะไม่กล้านอนที่นั่น เพราะกลัวเจอตำรวจ จะเข้าไปนอนที่บ้านปากคลองเก่า ก็กลัวชาวบ้านจะไปแจ้งตำรวจ พวกเสือนั้น จึงได้ไปอาศัยถ้ำใหญ่ ที่ตีนเขาทอง เป็นที่พัก ที่อยู่ในระยะไกลชั่วเคี้ยวหมากแหลก พอสบโอกาสปลอดโล่งคนก็จะลอบเข้ามา ฝากตัวขอของดีที่วัดเขาอ้อกลับไป
.....ทวดของกี้ บอกว่า ชาวบ้านปากคลองยุคนั้นรู้ดี ว่าที่ถ้ำใหญ่ตีนเขาลูกนั้น มีพวกโจรไปอาศัยใช้เป็นที่หลับนอนอยู่ แต่ก็ไม่ใคร่มีใครจะไปแจ้งตำรวจ เพราะไม่อยากมีภัยมาถึงตัว ได้แต่บอกกล่าวบรรดาลูกหลานที่เป็นหญิงสาว ไม่ให้เข้าไปใกล้เขาลูกนั้น เพราะอาจจะถูกพวกเสือฉุดเอาไปได้
... ปี 2453 การเข้ามาของทางรถไฟ ที่ตัดผ่านพัทลุง โดยขุนนิพัทธ์ฯ เฉียดเข้ามาใกล้เขาลูกนั้น นำความเจริญมาให้ พวกโจรที่เคยอาศัยถ้ำใหญ่ตีนเขาก็ไม่กล้าอยู่ เพราะกลัวทางการจะจับกุม พร้อมๆกับการเข้ามาตั้งสำนักสงฆ์ของพระธุดงรูปหนึ่ง ที่ยึดเอาถ้ำใหญ่ตีนเขาเป็นที่จำวัดและปฏิบัติธรรมจนเมื่อกองทัพญี่ปุ่นจู่โจมประเทศไทยเช้าตรู่ของวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ โดยยกพลขึ้นบกพร้อมกันเจ็ดจุด
มีจังหวัดสมุทรปราการ(บางปู)เท่านั้นที่ไม่มีการปะทะ นอกนั้นปะทะกับคนไทยทุกจุดคือจังหวัดประจวบ จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี
...เมื่อรัฐบาลไทยยอมให้ญี่ปุ่นผ่านแดนทหารญี่ปุ่น ก็ใช้ทางรถไฟลำเลียงข้าวของ อาวุธ และสมบัติที่ยึดได้จากมลายา ของอังกฤษ ขึ้นเหนือ เพื่อไปสมทบกับกองกำลังที่จะบุกพม่า ว่ากันว่า ญี่ปุ่นนั้นมีทองและเงินเป็นหลายโบกี้รถไฟ ที่ยึดจากหัวเมืองมลายูอันมั่งคั่งของอังกฤษ ก็ส่งผ่านเมืองพัทลุงอยู่เนืองๆ
....จนถึงปี2488 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม พวกทหารที่อยู่นอกดินแดน ตามพื้นที่ต่างๆ ก็ทำการฆ่าตัวตายไปเสียมาก และหนึ่งในจำนวนนั้น มีทหารญี่ปุ่นกลุ่มนึงที่เป็นกลุ่มลำเลียงทองคำและอยู่ในเขตพัทลุง เมื่อรู้เช่นนั้น จึงเสาะหาสถานที่ ที่จะเอาทองคำและสมบัติทั้งหมด ไปซ่อนเอาไว้ก่อนจนมารู้ว่า ที่ภูเขาใกล้สถานีปากคลอง มีถ้ำใหญ่อยู่ตีนเขา เข้าออกไม่ลำบาก
จึงจัดการลำเลียงทองคำทั้งหมด เข้าไปไว้ในถ้ำ ก่อนจะระเบิดปิดปากถ้ำ พร้อมกับขังตัวเองให้กลายเป็นผีเฝ้าทรัพย์อยู่ในถ้ำนั้นอันเป็นที่มาของชื่อ "เขาทอง"
ทวดของกี้เล่าว่า ชาวบ้านที่รู้เห็นเหตุการณ์นี้ ก็เอาไปบอกกล่าวต่อๆกันไป จนมีคนอยากรวย พยายามจะไปขุดหินที่ระเบิดปิดปากถ้ำอยู่ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหินหนักเป็นตันๆ กอร์ปกับสำนักสงฆ์เริ่มเจริญกลายเป็นเขตวัด คนที่คิดจะเข้าไปขุดจึงทำได้ยาก
....ตัวกระผมเอง เคยไปปีนขึ้นเขาทอง สมัยนานมาแล้ว ทางขึ้นด้านที่ขึ้นไปจากเขตวัดชันมาก แต่พอปีนได้ ที่ตีนเขาจำได้ว่ามีร่องรอยเหมือนเป็นหินก้อนใหญ่ๆ แยกออกต่างหากจากตัวหินภูเขาเหมือนใครเอามากองๆไว้ตรงตีนเขา แรกๆจะเป็นบันไดปูนประมาณไม่กี่สิบขั้น หลังจากนั้นจะมีเชือกผูกระหว่างต้นไม้ให้จับเวลาปีนขึ้นไป
.....กี้เล่าว่า ในอดีตเคยมีคนพยายามอย่างมาก ที่จะขุดและหาทางเข้าไปในถ้ำให้ได้ หากเข้าไปได้มันหมายถึงความร่ำรวยที่รออยู่แน่นอน แต่แม้จะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ เพราะหินมันหนักเกินไป แล้วสมัยนั้นชาวบ้านทั่วไปก็ไม่มีเครื่องมือที่ดีพอจะยกหินออกได้ เคยมีการเอาร่างทรง และอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมในสมัยนั้นมานั่งทางในเพื่อหาทางเข้า แต่อาจารย์เหล่านั้นล้วนบอกว่า เข้าไปไม่ได้เจ้าของเค้าหวงมาก เพ่งกระแสจิตเข้าไป ก็เจอผีทหารญี่ปุ่นยืนถือซามูไรจังก้าอยู่ในถ้ำ พวกนั้นสังเวยตัวเองด้วยการคว้านท้องตายกลายเป็นผีตายโหง วิญญาณแรงมาก
ทางเข้ามี แต่ใครที่เข้าไปจะไม่ได้กลับออกมาอีกตลอดกาล พวกนักเลงอยากรวย แม้จะรู้แบบนั้น ก็ไม่ได้กลัวเกรง เซ้าซี้เหล่าอาจารย์และคนที่พามาทรงให้บอกทางเข้าให้ได้ ท่านก็บอกว่า บนยอดเขา มีปล่องเล็กๆ ที่พอจะปีนลงไปในถ้ำได้อยู่
พอพากันปีนขึ้นไปบนยอดเขาก็เจอปล่องนั้นจริงๆ (หากจะมีใครอยากพิสูจน์ เชิญลองไปปีนขึ้นยอดเขาทองดูครับ แต่ผมบอกได้เลยว่าจากการเคยปีนขึ้นไป มีปล่องนั้นอยู่จริงๆ) ผมเองก็มารู้เกี่ยวกับตำนานของเขาทองภายหลังจากที่เคยไปปีนขึ้นเขาทองเมื่อนานมาแล้ว บนนั้นของเขาทอง จะแยกออกเป็น 2 ยอด ยอดนึง หันไปทางวัดเขาอ้อ หากใครนั่งรถสาย พัทลุง-ทะเลน้อย จะเห็นยอดด้านนี้มีธงปักปลิวไสวอยู่
ส่วนอีกยอด จะแยกไปทางทิศใต้ ที่ยอดทิศใต้นี้จะมีเจดีย์เล็กๆตั้งอยู่ เขียนเอาไว้ที่ฐานว่า หากใครขึ้นมาสักการะเจดีย์นี้ทุกวัน จะหายจากโรคภัยต่างๆ (ในใจผมคิดตอนนั้น ก็แน่ล่ะ ถ้าเล่นขึ้นมาสักการะทุกวัน มันต้องหายจากโรค เพราะร่างกายคงแข็งแรงมากๆ เลย)
กี้เล่าต่อว่า พอพวกนักเลงเจอทางลงบนยอดเขา ก็พากันปีนลงปล่องไป แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นคนกลุ่มนั้นกลับออกมาอีกเลย คาดว่าถ้าไม่ขาดอากาศตาย ก็คงลงไปเจออะไรที่สยดสยองข้างล่างแน่ๆ กี้บอกว่า วันดีคืนดี ก็มีคนเห็นแสงไฟเป็นดวงขาวๆ ลอยขึ้นมาจากเขาทอง ยิ่งสมัยทหารญี่ปุ่นระเบิดขังตัวเองตายอยู่ในถ้ำไปใหม่ๆนั้น มีชาวบ้านที่ทำไร่ทำนาติดเขาทอง เล่าว่า ตอนนั้นตะวันโพล้เพล้ เริ่มจะมืด ตนก็เก็บอุปกรณ์ทำนา เตรียมตัวเดินทางกลับ พอเดินแบกจอบแบกพร้า ผ่านตรงจุดที่เคยเป็นปากถ้ำ ซึ่งตอนนั้นถูกระเบิดหินลงมาปิดแล้ว
มองขึ้นไปตรงจุดนั้น ก็ขาสั่นเยี่ยวแทบราด เพราะเห็นร่างทหารญี่ปุ่น หลายร่าง บางร่างนั่ง บางร่างยืน ที่จำได้ติดตาคือ มีร่างนึง มองมาทางตนหน้าตาถมืงทึง เหมือนตาจะทะลักออกมานอกเบ้ายังไงยังงั้น สุดท้ายทนอยู่ไม่ได้ ก็ทิ้งจอบพร้า วิ่งกลับตัวปลิวมาบอกคนที่บ้าน ชวนคนอื่นกลับไปเป็นเพื่อนเพื่อเอาจอบพร้า ก็ไม่มีใครเอาด้วยเพราะกลัว ล้วนต่างบอกว่า อ้ายพวกผีทหารญี่ปุ่นในถ้ำปิดตายนั่นแลที่ออกมาหลอกหลอน มันคงหวงสมบัติ เลยออกมาหลอกไม่ให้ใครเข้าใกล้สมบัติของมัน
มีเรื่องเล่าต่อมาอีกว่า เคยมีเณรองค์นึง นัยว่า จบมาจากสำนักสายเขาอ้อ มั่นใจว่าตัวเองมีวิชาอาคมพอตัว อยากลองวิชาจะกำราบผีญี่ปุ่น จึงได้ปีนขึ้นเขาทอง และปีนลงปล่อง ปล่องเดียวกับที่กลุ่มนักเลงลงไปแล้วหายไปทั้งหมดนั่นล่ะชาวบ้านที่ไปด้วยก็นั่งรออยู่นาน แล้วก็เหมือนกลุ่มนักเลง เณรองค์นั้นปีนลงไปแล้วไม่กลับขึ้นมาอีกเลยเช่นกัน
ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครหาญกล้าคิดจะเข้าไปเอาสมบัติที่ว่านั้นอีกเลย ทุกวันนี้สมบัติทหารญี่ปุ่นที่เขาทองนั้น ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป เพราะได้กลายเป็นเขตของวัดและโรงเรียน ยากที่ใครจะเข้าไปขุดหาได้อีก พร้อมๆกับเรื่องราวที่เริ่มหายไปกับคนยุคนั้นที่ล้มหายตายจากไปกันหมด เด็กรุ่นใหม่ ที่พอจะรู้เรื่องนี้ก็มีไม่กี่คน และรับรู้มาจากคนรุ่นก่อนอีกที จริงหรือไม่จริงก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะไม่รู้จะไปถามหาจากใครก็กลายเป็นเรื่องเล่าสนุกๆกันไป
แต่หากใครอยากจะลองพิสูจน์ ปล่องบนยอดเขา ก็ลองไปปีนดูกันได้นะครับ อย่าลืมไปสักการะเจดีย์เล็กๆ บนยอดเขาด้านทิศใต้ด้วยล่ะ ที่แน่ๆ วิวบนนั้นสวยดี เสียดายผมไปปีนในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ถ่ายรูป และปัจจุบันก็ไม่มีเวลาไปปีนอีกยิ่งมารู้เรื่องราวตำนานนี้เข้าด้วยแล้ว ยิ่งกลัว ไม่กล้าไป ส่วนใครอยากจะลอง เชิญเลยครับ พิกัดมาชัดขนาดนี้